Skip to main content

Abdulloh Wanahmad; AwanBook

ไม่มีใครปฏิเสธได้แม้แต่น้อยว่า นับตั้งแต่โลกนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่ สิ่งหนึ่งที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของบทบันทึกทางประวัติศาสตร์ก็คือ การต่อสู้และการประหัตประหารระหว่างกัน เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตนให้อยู่รอดตลอดไป

ซึ่งปฐมบทแห่งความขัดแย้งในแต่ละยุคอาจมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเป้าหมายสูงสุดของทั้งสองฝ่ายนั้นจะเป็นอะไร จะด้วยเพื่อรักษาอำนาจ ผลประโยชน์หรือศักดิ์ศรีก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็เป็นเชื้อไฟที่คอยจุดประกายเพื่อให้แรงขับเคลื่อนจากภายในสู่ภายนอกออกมาในรูปแบบการก่อสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเหตุและผลของทั้งสองฝ่ายล้วนมีน้ำหนักมากพอเท่าๆ กัน เพื่อสร้างความชอบธรรมในการแสวงหาซึ่งความถูกต้องของฝ่ายตน

หลายครั้งที่สงครามได้อุบัติขึ้นบนบรรณพิภพแห่งนี้ ได้ก่อความเสียหายให้มวลมนุษยชาติทั้งโลก ถึงแม้ว่าระยะห่างของผืนดินที่เราเหยียบย่ำอาศัย จะมีระยะทางไกลพันล้านไมล์ก็ตาม แต่ทุกสมรภูมิสงครามได้ถูกบันทึกไว้ในโลกอย่างที่ไม่สามารถลบออกจากความทรงจำแห่งความสูญเสียของโลกได้

ย้อนกลับมาที่ความรุนแรงที่ปาตานี ก็มีสาเหตุมาจากที่ไม่ต่างกันมากนักกับที่ได้ก่อเกิดในทุกๆ สมรภูมิเลือด แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุหลักจะมาจากความรุนแรงทางกายภาพมากกว่าทางจิตใจ ที่ประวัติศาสตร์อันเดียวกันแต่ถูกบันทึกที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางมุมมองของนักประวัติศาสตร์ที่พยายามจะถ่ายทอดความจริงให้ปรากฏเราจะพบว่า ความรุนแรงที่ปาตานีที่ได้ดำเนินมาถึงหลายชั่วอายุคน ต่างมีความแตกต่าง แล้วแต่ว่าใครหรือคือผู้เขียนประวัติศาสตร์เล่มนั้น?

แต่ในเมื่อประวัติศาสตร์โดยรวมนั้น ได้ฉายภาพให้เราได้เห็นว่า การต่อสู้ในอดีตนั้นซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์อยู่ในสภาวะการปกป้องรักษาดินแดนเพื่อคงอยู่อัติลักษณ์ของตนที่ควบคู่ไปกับการขยายแผ่อาณาเขตให้กว้างไกลออกไปเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นการสร้างบารมีของผู้ปกครองในยุคโบราณหรือยุคก่อนที่โลกจะมีกระแสไฟฟ้าใช้เช่นปัจจุบัน มากกว่าที่จะแผ่ขยายอาณาเขตเพื่อการต่อรองอำนาจทางการค้าอย่างปัจจุบัน

จากการที่เราค้นคว้าประวัติศาสตร์ เราจะค้นพบสาเหตุและมุมมองในอีกมิติหนึ่งที่เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้โลกในยุคนั้นต้องประสบกับการโจมตีรุกรานเพื่อนบ้านอยู่ตลอดเวลา มากกว่าที่จะสานสัมสันพันธ์ไมตรีฉันมิตรอย่างทุกวันนี้

อนึ่งอาจเป็นได้ว่าการก่อสงครามในยุคมืดหรือยุคที่มนุษย์อยู่ในช่วงของการคมนาคมโดยอาศัยทางน้ำและทางบกด้วยสัตว์พาหนะ เพื่อเป็นการข่มขวัญผู้อื่นให้จำนนต่อความเกรียงไกรของตนมากกว่าที่จะไปปกครองแผ่นดินอื่นเพื่อสร้างความเจริญให้กับพื้นที่นั้นๆ

เมื่อความรุนแรงได้ก่อตัวเองผ่านยุคสมัยจนถึงขั้นการพัฒนาในการต่อสู้แบบองคาพยพ จนมิสามารถปราบปรามหรือยับยั้งเช่นยุคก่อนได้ ก็เลยทำให้พื้นที่ที่เคยมีความขัดแย้งอันเนื่องมาจากการสูญเสียอำนาจหรืออธิปไตยเหนือดินแดน ยังคงสุ่มไฟอย่างเงียบๆ เพื่อคอยจุดพลุแห่งการต่อสู้ในภายหลัง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์และโอกาสเอื้ออำนวย

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ฝ่ายที่เข้มแข็งกว่าในการต่อสู้ที่สามารถเข้าไปโจมที่ฝ่ายตรงข้ามถึงถิ่นหรือถึงภายในบริเวณศูนย์กลางแห่งอำนาจของเมืองนั้นๆ จะสามารถสถาปนาและประกาศเป็นเมืองขึ้นของตน เพราะชัยชนะที่ได้รับจากการเพลี่ยงพล้ำของอีกฝ่าย อย่างที่ปาตานีได้พ่ายแพ้ต่อสยามประเทศ ในคราวที่เมืองชั้นในถูกตีแตก ผู้คนต่างต้องอพยพหนีตายข้ามแม่น้ำ ภูเขา เพื่อเอาชีวิตรอด เพราะครั้งสุดท้ายที่ปาตานีถูกตีแตก ถือเป็นการสูญเสียอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จและยากที่จะปกป้องรักษาแห่งอำนาจได้อีกต่อไป

ถึงแม้สงครามปาตานีกับสยามจะปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มานับหลายครั้ง แต่ก็สามารถต้านทานได้ทุกครั้ง ตราบใดที่เมืองชั้นใน หรือวังยังไม่ถูกตีแตก

การทำสงครามในอดีตถือเป็นสงครามที่ไร้กรรมการหรือสังคมภายนอกรับทราบได้ เพราะถือเป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีขอบเขตที่จำกัด การเดินทางของข้อมูลในแต่ละครั้งจะต้องอาศัยระยะเวลาเป็นแรมเดือนและอาจมากกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้สงครามที่เกิดขึ้นในอดีตล้วนจะมีจุดจบกันที่เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยกธงขาวหรือหนีออกจากเมืองไป ถึงแม้จำนวนกำลังพลจะตายจากในสมรภูมิจะกี่มากน้อยก็ตาม

ผิดกับปัจจุบันที่โลกได้มีกฎเกณฑ์กติกาต่างๆ แม้แต่กติกาในการทำสงครามก็ยังมีระบุไว้ในสนธิสัญญาต่างๆ แต่ถึงกระนั้นเมื่อเอาเข้าจริงแล้วดูเหมือนว่า สนธิสัญญาหรือปฏิญญาที่ได้ร่างไว้โดยประเทศภาคีต่างๆ จะเป็นแค่เศษกระดาษเพื่อให้ดูดีในสายตาของมนุษยชาติก็เท่านั้นเอง

ในประเด็นนี้เราจะเห็นได้ว่า ไม่มีประเทศใดที่สามารถปฏิบัติตามกฎบัตรที่สากลได้เขียนรับรองได้แม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคงเกิดปัญหาการล่วงละเมิดอนุสัญญาต่างๆ เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมทรมานผู้ต้องหา การกดขี่ในทางกฎหมาย การใช้อำนาจเกินขอบเขตและหน้าที่ ที่ร้ายไปกว่านั้นเมื่อเหตุการณ์อยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ ทางฝ่ายความมั่นคงมักจะอ้างอยู่เสมอว่า เพื่อรักษาความสงบและผลประโยชน์ของชาติ ทำให้การล่วงละเมิดของเจ้าหน้าที่ต่อผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยไม่มีความผิด เพราะด้วยเหตุผลปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น

หากสงครามคือคำตอบแห่งชัยชนะ เหตุใดสังคมปาตานีจึงยังคงมีความรุนแรงเชิงต่อต้านอำนาจรัฐในฐานะผู้ปกครองที่ได้มาซึ่งด้วยวิธีการที่รุนแรง ถึงแม้ว่าความพ่ายแพ้ของปาตานีจะผ่านพ้นไปแล้วกว่าสองศตวรรษก็ตาม แต่ทว่าเสมือนว่าชัยชนะที่ได้มาของรัฐไทยนั้น ดูเหมือนจะยังคงไม่สิ้นสุด ในเมื่อสังคมปาตานียังคงมีกลุ่มคนหรือองค์กรลุกขึ้นมาทวงคืนสิทธิของตนที่ได้สูญเสียไป

เมื่อปาตานียังคงมีความขัดแย้งเชิงสัญลักษณ์เพื่อรักษาไว้ซึ่งอัติลักษณ์ ในอนาคตข้างหน้าไม่มีใครรู้ว่าความเข้มข้นของความรุนแรงนั้นจะพัฒนาไปถึงขั้นใด จนกว่ารัฐไทยจะยอมรับในการมีอยู่ของพลเมืองปาตานีและมีสิทธิในการจัดการตนเองตามวิถีที่ชาวปาตานีต้องการ


สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่า สันติภาพที่แท้จริงนั้นคือ การที่ไม่มีคนของทั้งสองฝ่ายต้องมาบาดเจ็บ ล้มตาย ถูกจองจำ หรือถูกขังลืม ในดินแดนปาตานีอีกต่อไป ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าทั้งสองฝ่ายเปิดใจกว้างลดฐิติในความรักชาติแบบสุดโต่ง เราเชื่อเหลือเกินว่า สันติภาพปาตานีคงจะเกิดได้อย่างแน่นอน และคงไม่ใช่ด้วยวิถีการส่งกองกำลังเพื่อมาปราบปราม เพราะนั่นมันเป็นแค่การป้อมปรามมิใช่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนแต่อย่างใด