Skip to main content

             ในบทความก่อนหน้านี้ในชื่อ ใครกันแน่ที่โหยหาสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย?

ผมได้กล่าวถึง “พิมพ์เขียวแห่งสันติภาพ” ที่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการยอมรับจากทุกฝ่าย

 

อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่ “ขาดหายไป”จากบทความสั้นๆดังกล่าวขอถือโอกาสนี้ พูดถึงสิ่งที่ “ขาดหายไป” ในบทความนี้

“สันติภาพ”นั้นจริงๆแล้วมันเหมือนกับ “อากาศ”ที่เป็นของมนุษย์ทุกคน ทุกสถานที่ ทุกเผ่าพันธุ์ และทุกชนชั้นวรรณะ สันติภาพจึงไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง สันติภาพเป็นของมนุษยชาติทั้งมวล ไม่มีใครหรือกลุ่มบุคคลใดจะผูกขาดและมีสิทธิเหนือมันเป็นการเฉพาะ

และที่สำคัญปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล หรือแม้แต่รัฐก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือ “สันติภาพ” เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง คงไม่ยากที่ปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล หรือแม้แต่รัฐจะสร้างสันติภาพให้เกิดมีขึ้นได้อย่างที่ปรารถนา

 

สันติภาพมีกฎของมันเป็นการเฉพาะ

 

และมันจะเป็นอื่นทันที หากเกิดเงื่อนไขที่ขัดแย้งกับกฎของมัน

และเช่นเดียวกันที่อากาศ หากเกิดเงื่อนไขที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของมันก็จะส่งผลกระทบกับมัน

กระบวนการสู่สันติภาพจึงไม่ใช่การที่คู่ขัดแย้งหรือผู้มีส่วนได้เสียกับสันติภาพปรับตัวเข้า หากันเท่า นั้นซึ่งมองจากมุมนี้ทุกฝ่ายต่างก็ปรารถนาจะให้ฝ่ายอื่นปรับตัวและยอมรับข้อเสนอของตนผลก็อย่างที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทุกที่ไม่ว่าที่ไหนในโลก แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นสดๆร้อนๆณ กรุงเทพมหานครในขณะนี้

 

อย่างที่ผู้เขียนกล่าวไว้นั่นแหละครับ

 

สันติภาพมีกฎของมันเป็นการเฉพาะ

ในปัจเจกบุคคลที่ “เขา”หรือ “เธอ”ดำรงตนตามกฎแห่งสันติภาพความสงบสันติก็จะบังเกิดขึ้นในตัว “เขา” หรือ “เธอ” ได้

แต่หากใช้วิธีอื่นจากนี้ แม้“เขา” หรือ “เธอ”จะมีเงินนับแสนล้านบาท แม้นจะสามารถหาซื้อบ้าน ณ ทำเลที่สงบ ห่างไกลจากความวุ่นวาย แต่ก็ไม่สามารถหาซื้อความสงบให้กับตัวเองได้  

แม้จะมีอำนาจสักปานใดก็ตาม ก็ไม่สามารถใช้อำนาจของตน“บังคับให้ความสงบสันติ” เกิดมีขึ้นในตัวเองได้

หรือความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันแพทย์อาจจะเปลี่ยนหัวใจก้อนใหม่แทนก้อนเดิมที่ชำรุดให้“เขา” หรือ “เธอ” ได้ แต่ไม่สามารถ “เพาะเนื้อเยื่อ” ที่ก่อให้เกิดความสงบขึ้นในหัวใจของ“เขา” หรือ “เธอ” ได้ หรือแม้แต่การใช้ยาก็พิสูจน์แล้วว่าในที่สุดแล้วหลังจากที่ฤทธิ์ของยาหมดความสงบนั้นก็จะหายไปด้วย

ในการเขียนพิมพ์เขียวแห่งสันติภาพนอกจากคู่ขัดแย้งและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆทั้งหมดแล้ว การคำนึงถึง “กฎแห่งสันติภาพ” มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากแม้นว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งหมดจะเห็นด้วยแล้วกับ “พิมพ์เขียวแห่งสันติภาพ” ที่ร่วมกันเขียนขึ้น

แต่หากพิมพ์เขียวนั้นขัดแย้งกับ“กฎแห่งสันติภาพ”ในที่สุดแล้วอาคารแห่งสันติภาพที่สร้างขึ้นนั้นก็จะพังครืนลงในวันหนึ่ง ดังเช่นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องตามกฎและมาตรฐานด้านวิศวกรรม

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจถามว่า แล้วอะไรคือกฎแห่งสันติภาพที่ว่าหละ

คำถามนี้คือคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดรายทางถนนสายสันติภาพ

และการค้นหาคำตอบของมันคือความท้าทายแก่เราทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีส่วนในกระบวนการสร้างสันติภาพของเราร่วมกัน อินชาอัลลอฮฺ