Skip to main content

 

เรื่องเล่าจากเจนีวา ตอนที่ 3 ขออนุญาตตั้งชื่อเรื่องว่า ...ทำใจไม่ได้... ละกันนะ

........

อารีด้า สาเม๊าะ

 

มาถึงวันแรกยังไม่เจอคนที่คาดหวังว่าจะมาแสดงตัวว่า " เรามาจาก mrg นะค่ะ คือมีอะไรลำบากลำบนก็มาบ่นกับดิฉันได้...คิดสะว่า ดิฉันเป็น 7-11 ของคุณนะค่ะ คุณนาย".....5555 ย้ำนะ แค่คาดหวัง

หลังจากเดินลงจากรถไฟ ซึ่งสถานีอยู่ตรงข้ามโรงเเรมที่พัก แยกย้ายจากพี่คนไทยที่มีน้ำใจอย่างลืมไม่ลงจริงๆ เรียบร้อยก็หาประตูเข้าโรงเเรม ฉันไม่ได้สนใจว่าใครกำลังทำอะไร อย่างไรในห้องที่ฉันกำลังจะเข้าไปหวังว่า จะได้เช็คอิน นั้น ... เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เรื่องประหลาดใจก็บังเกิดสิค่ะ คือ ผู้คนกำลังกัด กิน แทะ เบอร์เกอร์ตัวเองอย่างเมามัน ฉันไม่หิวหรอกนะไม่ต้องมอง งงๆสักพัก ทำไมโรงแรมเขาเป็นแบบนี้อ่ะ ขายอาหารกันอย่างนี้เลยร่อ และฉันยืนงงๆ ก็ไม่มีคนต้อนรับอะไรเลย บ่นในใจ mrg จองโรงแรมแบบนี้ให้คนจะที่มาประชุมร่อ ด้าเสียใจ...สักพักเริ่มคิดได้ เห้ย ต้องถามว่ะ ยืนโด่เด่ไม่มีใครสนใจเลยอ่ะ

.......

"excuse me, Is here xxx hotel?..."

ไม่รู้ว่าอากาศบ้านเขาเปลี่ยนไปมาไวขนาดนี้ หน้าฉันรู้สึกชาๆ เย็นยะเยือกมากๆหลังจากได้ยินเขาตอบว่า "next door mam" ... จะอะไรละค่ะ ลากกระเป๋า พร้อมทำปากขมุบขมิบ กูก็ว่าอยู่ นี้มันร้านเบอร์เกอร์ .... จบเรื่องน่าอายเหอะเนอะ...

ข้ามมาถึงวันที่เจอผู้ที่ฉันคาดหวัง

มาเป็นคนแรกของห้องประชุม...เป็นไปได้ร่อ มันเป็นไปแล้วคือมาหลังจากพนักงานเปิดตึกอ่ะ เข้าตึกไม่ได้และมีคนมาช้ากว่าคนไทยอย่างฉันด้วยอ่ะ ซึ่งจะเล่าถึงเพื่อนร่วมชะตากรรมในภายหลังนะคะ แต่เรื่องนี้จะเล่าเรื่องเบาๆก่อน

สักพักองค์ประชุมมาครบ เริ่มต้นความเครียด จินตนาการถึงสิ่งที่เขากำลังพูดถึงและพยายามเข้าใจ หลังจากนั้นก็ถุงเวลาพัก และมาถึงช่วงที่รอคอย คือเจอคนที่จะให้เบี้ยเลี้ยงละ

นางสวยมากคือประเด็นแรก ฉันมาที่นี่คือคิดว่าจะรอดจากความหิวโหยจากนางคนนี้แหละ เพราะนางถือซองเงินไง 5555

เมื่อเจอนาง ก็เริ่มชี้แจงว่า มีเบี้ยเลี้ยงนะคะ ซึ่งทางผู้จัดจะไม่ดูแลทั้งหมด เราต้องหากินเอาเองนะด้วยเงินนี้แหละ แม้แต่เบรคช่วงอบรมก็ตาม แต่ดูจำนวนเงินแล้ว โห้วววว เกือบจะเท่าเงินเดือนข้าพเจ้าทั้งเดือนเล้ยยยยยย... จินตนาการไกลละ ฉันจะไม่กินอะไร จะเก็บไว้ซื้อของฝาก เหอะๆๆๆ

.......

และแล้วความตั้งใจนั้นต้องสลาย เมื่อสิ่งที่ฉันคาดหวังว่ามาม่าจะช่วยพยุงชีวิตให้อยู่รอดจากควาทหิวโหยได้ แต่ฉันก็ต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เมื่อดูราคาน้ำเปล่าหนึ่งขวด 3 CHF เท่ากับเท่าไหร่นะร่อ คือคูณ 35 บาทโดยประมาณเข้าไปสิคะ ... ตรูจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังเด็ดขาด55555.... อาหารถูกสุดคือ 5 CHF ได้ข้าวหมกสองจวักในโฟมทรงกลมเล็กๆเอง น้ำตาไหลสิคะ และที่สำคัญวันแรกไม่มีอาหารฮาลาลให้ ทำไงนะร่อ ก็เด็ดใบไม้กินนะสินะ เหอะๆ วันแรกกินแต่สลัด มีผักเพียวๆจริงๆคือได้นะถ้าตอนเที่ยงได้ข้าวสักจาน.ครสวยก็เห็นหน้าตาไม่แฮปปี้เลยถามว่า "are you ok?" ..."do you have rice in your country?" ...และฉันทำให้สามสี่คนในบริเวณนั้นหัวเราะเสียงดัง แต่ฉันไม่ตลกนะ หิวข้าวมาก แต่ก็ไม่เป็นไรทนได้อยู่วันแรกๆเองไง...

และแล้ววันที่ทนไม่ได้ก็เกิดขึ้น. ต้องเดินหาไรกินกับเพื่อน ทั้ง5คนก็คุยกันจะกินอะไร เสนอกันกินโน้น กินนี้ และแล้วมีชายหนุ่มหันมาถามว่า

"Aridaaaaa...what do you want to have this dinner?"

..for me any thing but halal,enough for me...

"Thai good ?"

"Not halal for me"...

Ok, let's go to labanese

......

ถึงร้านแล้วรีบเปิดเมนู หาที่ราคาถูกที่สุด เตอตั้งแต่ 10ขึ้นไป มันคือสตาร์ท จาก350 บาทแน่ๆ โอเค คัดสินใจสั่งจาน เกือบ 20 CHF เพราะคิดว่าน่าจะไม่ไหวแล้วละนะ และสั่งโค้กกระป๋องประมาณไมาถึง 20 บาทของบ้านเรา ของเขาคือ 3 CHF ก็เหมือนเดิมคูณ 35 บาท ...

" This can coca cola's prize almost 10 times to my country,,,"

ทุกคนก็ทำหน้างงๆทำไมต้องคิดมาก แต่หลังจากนั้นมีคนพูดเหมือนกัน บ่นว่าจริงๆแล้วไม่น่าจะพอสำหรับเบี้ยเลี้ยงที่เขาให้ เพราะของแพงมาก คงจะหมดตัวก่อนกลับบ้าน...

,,,,รับไม่ได้ยังไงก็ต้องกิน อีกมื้อไปร้านจอแดน ซึ่งแน่นอนเพราะมันฮาลาล และราคาก็ทำให้ไม่กล้าทิ้งอาหารให้เหลือเลย

.......

ถ้าจะวางแผนมาทั่นี้ เอาซอสแมคกี้ไรมาด้วยนะ เพราะอาหารอาจจะกลืนได้ดีกว่า55555

 

อ่านตอนที่แล้ว

เรื่องเล่าจากเจนีวา ตอนที่ 1 "...kamu dari malaysia...."

เรื่องเล่าจากเจนีวา ตอนที่ 2 "Kamu mudah senyem"