Skip to main content

 

อสนียาพร นนทิพากร

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 นางสาวรอมือละห์ แซยะ ภรรยานายมูฮำหมัด อัณวัร(อันวาห์) ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน กรณี ตนเองได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (UN Working Group on Arbitrary Detention) กรณีการควบคุมตัวนายมูฮำหมัด อัณวัรถือเป็นการกระทำโดยพลการตาม Categories III และ V “การควบคุมตัวนายมูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ หรือ นายมูฮำหมัด อัณวัรหรือ อันวาห์ ถือว่าละเมิดข้อ 9 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน”

นางสาวรอมือละห์ แซยะ จึงร้องขอให้รัฐบาลไทยจัดให้มีการเยียวยาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐาน และหลักการที่กำหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและกติกา ICCPR

คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ มีความเห็นว่า การเยียวยาที่พอเพียง โดยรัฐมีหน้ามีหน้าที่ต้องจัดให้มีการชดเชยเนื่องจากการละเมิดสิทธิของเขา และเป็นหน้าที่ที่บังคับใช้ได้ตามคำสั่งศาลในประเทศ โดยขอให้รัฐบาลไทยชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และข้อกฎหมายที่ใช้ในการสนับสนุนการควบคุมตัวนายมูฮำหมัด อัณวัรและนางสาวรอมือละห์ แซยะ ขอเรียกร้องตามเดิมคือคืนความเป็นธรรมให้กับสามี

จากการตรวจสอบแหล่งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ กองการสังคม กรมองค์การระหว่างประเทศ พบว่า เป็นเพียงกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สหประชาชาติ (UN) ได้กระทำเป็นปกติอยู่แล้ว หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน มิใช่หนังสือแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ได้ละเมิดสิทธินายมูฮำหมัด อัณวัรแต่ประการใด และกรณีดังกล่าวได้เกิดก่อนจะมีการรัฐประหาร เมื่อ 22 พ.ค.57 ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากเกิดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อผดุงความยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การจ่ายเงินเยียวยาตามที่ภรรยาของนายมูฮำหมัด อัณวัรร้องขอ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสหประชาชาติเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี ‘อันวาห์’

            เมื่อ 6 พ.ค.56 โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงเหตุจำคุก 12 ปี “มูฮาหมัดอัณวัร”นักข่าวอิสระ ตามที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายมูฮำหมัด อัณวัรหะยีเต๊ะ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันก่อการร้ายเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นเวลา 12 ปี นั้น เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนศาลยุติธรรมของประเทศไทย

กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีของศาลประเทศไทย ดำเนินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย แยกกันอย่างชัดเจน คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ, ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งทั้ง 3 ฝ่ายนี้จะทำงานอย่างอิสระไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถเข้าไปแทรกแซง บีบบังคับ หรือกดดันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ แม้แต่ประชาชน ข้าราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ หรือองค์อิสระ

ผู้พิพากษาของประเทศไทยปฏิบัติหน้าที่ในนามขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์ศาสนูปถัมภก คือให้การอุปถัมภ์ในทุกศาสนาไม่แบ่งแยก หรือเลือกการปฏิบัติทั้งศาสนาพุทธ อิสลาม คริสต์ และศาสนาอื่นๆ ดังนั้นการอ้างอิงถึงความไม่ยุติธรรมจากเรื่องศาสนาจึงไม่มีเหตุผลอันควร สำหรับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทย อีกทั้งผลการพิจารณาของศาลไทยมิได้มีผลความเชื่อถือเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสามารถนำไปประกอบเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีในระดับสากล

กระบวนการศาลศาลยุติธรรมของไทย มีขั้นตอนที่ได้ให้ความเสมอภาคระหว่างจำเลยและผู้กล่าวหา ตลอดจนยึดถือหลักสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมอยู่ในตัว โดยทุกคดีจำเลยจะมีสิทธิในการร้องขอความเป็นธรรม

คดีของนายมูฮำหมัด อัณวัรยังมีข้อสงสัยในพฤติกรรมอันมีผลต่อความมั่นคง สันติสุขของประชาชน ชุมชน และของประเทศ จึงได้มีการเสนอเรื่องให้พิจารณาในระดับสูงสุดคือ ศาลฎีกา ด้วยพยานหลักฐานที่ครบถ้วน และมีความชัดเจนมิอาจโต้แย้งได้ ศาลฎีกาจึงได้พิจารณายืนตามศาลชั้นต้น คือ จำคุกนายมูฮำหมัด อัณวัรเป็นเวลา 12 ปี รวมระยะเวลาที่คณะผู้พิพากษาได้ให้โอกาสแก่จำเลยคือ นายมูฮำหมัด อัณวัร และอัยการในฐานะทนายความของรัฐ เป็นระยะเวลา 7 ปี 8 เดือน 13 วัน นับว่าเพียงพอต่อการให้ความยุติธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว

การเคลื่อนไหวของนายมูฮำหมัด อัณวัรยังไม่จบเพียงแค่นี้ โดยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นวัน “สันติภาพสากล” ยังได้เขียนจดหมายจากเรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี ส่งถึง “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล เพื่อทำการเรียกร้องว่า อยากให้รัฐบาลไทยนิรโทษกรรมผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ที่เป็นผลมาจากการใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้การติดตามจับกุมและปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้กระบวนการสร้างสันติภาพดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ล่าสุดเตรียมยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ

ในส่วนของความเคลื่อนไหวในเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีการประกาศใน Facebook : เพื่อนอันวาห์-Save Anwar เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ที่รู้จักนายมูฮำหมัด อัณวัรให้ช่วยรับรองความประพฤติ ว่าเป็นผู้ที่มีสำนึกในสันติภาพ ไม่ได้สนับสนุน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง เพื่อแนบเอกสารการขอพระราชทานอภัยโทษต่อไป

ผู้ที่ทำการขับเคลื่อนประสานงานคือ นางรอมือละห์ แซยะ ผู้ประสานงานกลุ่มเยาวชนอาสา จังหวัดนราธิวาส และเครือข่ายภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ประสานขอความร่วมมือแกนนำองค์กร เครือข่ายภาคประชาสังคม ลงนามในหนังสือรับรองความประพฤติให้กับนายมูฮำหมัด อัณวัรโดยระบุว่า เป็นผู้ที่มีความประพฤติเรียบร้อย และทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมด้วยความเสียสละ อุตสาหะ มาโดยตลอด ประมาณ 50 คน อาทิเช่น นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) นายแพทย์อนันตชัย ไทยประทาน ที่ปรึกษาสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ และ นางสาวโซรยา จามจุรี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้

จากรายชื่อข้างต้นถือได้ว่าเป็นแนวร่วมเครือข่ายที่ทำการขับเคลื่อนงานมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นฝ่ายการเมืองที่พยายามสร้างกระแสการกำหนดใจตนเอง

จากกรณี “อันวาห์”ที่ถูกศาลศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก 12 ปี ได้กลายเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อกระบวนยุติธรรมของไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มเครือญาติและภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยุติธรรม มีการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างต่อเนื่อง

ในอดีตก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายมูฮำหมัด อัณวัรศาลของประเทศไทยได้เคยพิพากษายกฟ้องคดีความที่มีชาวไทยพุทธ และมุสลิมตกเป็นผู้ต้องหาจำนวนหลายรายแล้ว ดังนั้นการที่จำเลยผู้หนึ่งผู้ใดจะถูกพิจารณาอย่างไรนั้น จะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และดุลยพินิจของผู้พิพากษาที่มิได้มุ่งแต่จะใช้บทลงโทษเฉพาะต่อประชาชนเพียงอย่างเดียว ยังต้องคำนึงถึงหลักการอื่นๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล ที่ศาลให้โอกาสพิสูจน์ตนเองนานถึง 7 ปี 8 เดือน

ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย มีความเที่ยงตรง ผลการตัดสินของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดถือได้ว่าคดีความถึงที่สุดแล้ว และศาลฎีกาได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น แต่ก็ยังมีกลุ่มเครือญาติ และภาคประชาสังคมยังคงมีการเคลื่อนไหวโดยใช้สันติวิธี (non-violent) อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนางรอมมือละห์ ภรรยานายมูฮำหมัด อัณวัรเตรียมยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ พร้อมทั้งเดินเกมส์ ล่าลายชื่อรับรองความประพฤติ และยังยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ UN เกี่ยวกับการควบคุมตัวโดยพลการ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลไทยทั้งๆ ที่ศาลให้โอกาสนายมูฮำหมัด อัณวัรพิสูจน์ตนเองนานถึง 7 ปี 8 เดือน ยังไม่เพียงพออีกหรือ....

-----------------------------------------