Skip to main content

มินดาเนา เป็นพื้นที่ที่มีปมแห่งความขัดแย้งที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์ที่เกี่ยวโยงทั้ง ศาสนา เชื้อชาติ การเมือง และกระแสต่างชาติ ทำให้เกิดผลตามมาคือการแก้ปมจากเชือกที่ไม่มีปลายนั้น...ลำบากเอาการ แต่ไม่ใช่ไม่มีความหวังเลย ถ้ารู้ปัญหาก็สามารถเริ่มต้นจากสิ่งที่รู้ก่อน และสิ่งหนึ่งที่คนที่นี้รู้คือ “คนที่ซ่อนปลายของเชือกคือสื่อทั้งหลายที่เล่าเรื่องของเราโดยปราศจากความ จริงโดยสิ้นเชิง และปัญหาที่แย่กว่าคือเรารู้ว่าสิ่งนั้นทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจเราผิด แต่เราก็ปล่อยให้มันเกิด เพราะเหตุนี้ MINDANEWS จึงเป็นตัวแทนของคนมินเนาค้านทุกเสียงที่โกหกมาโดยตลอด” เสียงสะท้อนจากชาวมินดาเนากับผู้สื่อข่าวอามาน

จากการสัมผัสพื้นที่ จริงและข้อมูลตรงจากลูกหลานชาวโมโร ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญที่ใครๆมองว่าเป็นปมความขัดแย้งในมินดาเนากับความเข้า ใจมินดาเนาของคนในเมืองหลวงชั่งขัดแย้งกัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบและทบทวนประวัติศาสตร์ทำให้มองเห็น “รากเง้าของปัญหา” ที่นี่ได้ชัดขึ้น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความเข้าใจผิดเหล่านั้นเกิดจากเหตุใด และควรจะเริ่มต้นในการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นอย่างไร และการเดินทางมาเรียนรู้การจัดการความขัดแย้งในมินดาเนาในครั้งนี้ มีผู้แนะนำให้มาพบกับสื่อที่สามารถเรียกว่า เป็นตัวแทนเสียงของคนมินดาเนา ที่ยืนขึ้นเพื่อค้านทุกข้อกล่าวหาจากสื่อภาคกลาง ว่า “เราคือปัญหาของประเทศ”

บทเรียนที่น่าเจ็บปวดของลูกหลานมินดาเนาจาก การถูกสื่อจากส่วนกลาง เป่าหูและใส่ข้อมูลผิดๆให้คนหมู่มากที่เสพข้อมูลจากแหล่งข่าว เกิดภาพลบติดตาและเชื่อว่าคนมุสลิม คนโมโรคือปัญหาของประเทศ ภาพเหล่านั้นทำให้มุสลิมบางกลุ่มในเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ต้อง เจอกระแสกดดันจากสังคม และถูกมองเป็นอื่น “ชนรุ่นหลังและประชากรส่วนใหญ่ของฟิลิปปนส์ ซึ่งเป็นคนในเกาะลูซอนและวีซายัสไม่สนใจและไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดปัญหา ที่นี่ ทุกคนไม่อยากให้เกิดสงครามแต่ไม่เคยสนใจที่จะรู้ว่าทำไมที่นี่ถึงเกิดสงคราม นั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นความผิดของพวกเขา แต่เพราะประวัติศาสตร์มินดาเนาไม่เคยถูกเล่าขานและไม่มีในหนังสือเรียนวิชา ใดเลย คนที่นี่จึงไม่รู้แม้ประวัติศาสตร์ของพี่น้องในประเทศตัวเอง”

Froilian O. Gallardo ผู้สื่อข่าวและphotojournalist ของ MINDA NEWS ได้ให้ข้อมูลกับเราว่า ภาพติดลบที่เกิดขึ้นต่อลูกหลานมินดาเนา ไม่ว่าจะเป็นภาพที่มองว่ามุสลิมมินดาเนาเป็นผู้ก่อการร้าย ความเกลียดชังคนมุสลิม และความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ที่ทำให้คนมินดาเนาที่อาศัยในเกาะอื่นๆของฟิลิปปินส์แทบจะไม่อยากบอกใครว่า มาจากที่นี่ เพราะสื่อกลางนั่งเทียนเขียนข่าว กุเรื่องโกหกและนำเสนอทั้งๆที่ไม่เคยมาเยียบดินแดนที่นี่ด้วยซ้ำ และหลายครั้งที่ผู้คนเหล่านั้นมีการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับมินดาเนาอย่าง กับรู้จักพื้นที่ดี และหลายครั้งที่มินดานิวส์เคยมีโอกาสเป็นตัวแทนของชาวมินดาเนาแก้ต่างด้วย “ความจริงที่จริงกว่า” เพราะนักข่าวจากมะนิลาไม่เคยพูดบนฐานความจริง เราจึงต้องมาเพื่อความจริงได้กระจ่างแก่คนทุกคน

MINDA NEWS ใช้เวลากว่าเก้าปีเพื่อการเริ่มต้นเปิดพื้นให้คนที่อยากรู้เรื่องราว “แม้ไม่ทุกคนที่จะสนใจ หรือไม่มีใครสนใจข่าวของเราเลย เราก็จะทำหน้าที่เสนอสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ต่อไป เพราะเรารู้ว่าว่าหลายคนเชื่อเสียงของเจ้าของพื้นที่มากกว่าคนที่นั่งเทียน เขียน” Froilian O. Gallardo สะท้อนให้ฟัง

ประสบการณ์ของการลง พื้นที่ในภาวะสงครามของนักข่าวที่นี้ ทำให้รู้ว่าการเงียบไม่ใช่สิ่งที่ดี การทลายกำแพงความเกลียดชังระหว่างกัน ที่เกิดขึ้นมาแล้วระหว่างคนคริสต์กับมุสลิมของคนในชาติ คือการพูดคุยและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องบนฐานข้อมูลที่ถูกต้องเท่านั้น

“วิธี การได้มาซึ่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุด คือได้มาจากเจ้าของเรื่องแล้วเราเป็นแค่ตัวกลางนำเสนอ ส่วนใครจะอ่าน จะเชื่อหรือไม่นั้นก็แล้วแต่เขา เราทำหน้าที่ของเราแล้ว” มินดานิวส์เองยอมรับว่า ความจริงแล้วระยะทางที่ห่างไกลและข้อจำกัดของงบประมาณ จึงไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุหรือรับข้อมูลตรงจากแหล่งข้อมูลที่ดีได้ สิ่งที่มินดานิวส์ทำนั้นก็คือการสร้างคนในพื้นที่ห่างไกลมีทักษะในการเขียน ข่าวให้น่าสนใจและใช้โลกไร้พรหมแดนอย่างอินเตอร์เน็ตสื่อสารกัน “ในเมื่อเราไปรับฟังทุกทีไม่ได้ เราก็ให้คนในพื้นที่นั้นแหละเล่าเรื่องตัวเองแล้วส่งมา เพราะไม่มีแหล่งข้อมูลในดีกว่าเจ้าของเรื่องอีกแล้ว” เขากล่าวเสริม

ยัง ไม่มีตัวชี้วัดความสำเร็จชี้ชัดได้ว่า ความพยายามของมินดานิวส์ตลอดเก้าปีนั้นสามารถสร้างให้คนในชาติเข้าใจปัญหา ที่เกิดขึ้นจริงได้หรือสามารถสร้างความตระหนักร่วมให้เกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีโพลจากแหล่งไหนบอกได้ว่าประชาชนชอบหรือไม่ชอบงานของมินดานิวส์ แต่รางวัลที่ทำให้คนเขียนข่าวอย่างพวกเขาหายเหนื่อยและทำให้รู้สึกได้ว่าคน มินดาเนาตอบรับมินดานิวส์คือรางวัล PEACE AWARD ในปี 2010 จากSAMBUANGKA ในฐานะสื่อเพื่อสันติภาพในตัวแทนของคนมินดาเนาทั้งเกาะ
การเริ่มต้นการทำ งานของกลุ่มคนที่ตั้งใจเพื่อสังคมที่ดีกว่าจึงไม่จำเป็นต้องพร้อมทุกอย่างใน ด้านวัตถุ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจและสมองของคนที่จะทำงานเพื่อขับเคลื่อน ประเด็นของตัวเองให้สู่ความเข้าใจของสังคมที่ถูกต้องและทำให้ทุกคนมองว่า เป็นปัญหาร่วมกัน อย่างสำนักข่าวมินดา นิวส์(MINDA NEWS) ที่มีอายุกว่าเก้าปีแล้วสำหรับการทำงานภายใต้ ความกดดันของสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปเนื่องจากภาวะสงครามคือประเด็น ข้อจำกัดหลายๆด้านไม่ได้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คนทำงานท้อและเลิกที่จะนำ เสนอทางเลือกของข้อมูลให้ประชาชนที่สนใจ

เบื้องหลังความสำเร็จและ ความเข้มแข็งของพวกเขามาจากใจของคนทำงานไม่ได้มาจากเงินทองใดๆ จริงอยู่ที่ “เงิน” เป็นส่วนสำคัญที่สามารถสร้างองค์กรให้เข้มแข็งได้ แต่ก็สามารถทำให้ทลายลงได้เช่นกัน การคิดใหญ่เป็นสิ่งที่ต้องระวัง และบทเรียนที่ล้มเหลวของสำนักข่าว CEBU ในฟิลิปปินส์ ที่จบตัวเองลงภายในหนึ่งเดือนเท่านั้น เพียงเพราะคิดงานใหญ่ที่ต้องใช้เงินมากในการพยุงตัว เพียงเดือนเดียวชื่อของสำนักข่าวนี้ก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของสื่อฟิลิ ปินส์ไป สำหรับมินดานิวส์มองว่าตัวเองไม่สามารถต่อกรกับสำนักข่าวจากส่วนกลางที่มี พร้อมในทุกอย่าง แต่พวกเขาอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้เพราะการวางแผนที่ดีและไม่ทำเรื่องใหญ่ เกินตัว ซึ่งจะหมายถึงการต้องมีค่าใช้จ่ายสูงด้วยเช่นกัน พวกเขาบอกว่าคนที่เขียนข่าวให้มินดานิวส์คือคนมินดาเนาในแต่ละพื้นที่ “เราไม่มีเงินมากพอที่จะจ้างคนเขียนข่าวมากมายขนาดนั้น และไม่มีความสามารถที่จะส่งนักข่าวของเราลงพื้นที่ที่ห่างไกลจากฐานที่เรา อยู่ถึงสิบชั่วโมงเพื่อหาข้อมูลของคนในโกตาบาตู แต่สิ่งที่เราทำคือสร้างความตระหนักให้คนในพื้นที่ที่เป็นเจ้าของเรื่องลุก ขึ้นมาเล่าเรื่องตัวเอง และให้ทักษะที่จำเป็นสำหรับการเขียนข่าวแล้วใช้อินเตอร์เน็ตที่ใครๆสามารถ เข้าถึงได้ส่งข่าวมา แล้วเราเป็นคนกลางในการสื่อสารให้คนทั่วไปที่สนใจ อย่างน้อยเราเชื่อว่า ในชื่อของมินดานิวส์มีคนที่เชื่อมั่นและฟังเราบ้าง”เขาเผยเงินไม่ใช่อุปสรรค ในการทำงาน

จากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เราได้สัมผัสหัวใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญของชาวมินดานิวส์ ที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาถึงก้าวปี ด้วยการเริ่มต้นจากหัวใจและเดินหน้าต่อไป เพราะพวกเขาเชื่อว่า ความจริงเท่านั้นที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กลับคืนมาแก่ชาวมินดาเนา “ We don’t care if people don’t read us “

คำทิ้งทายที่เปิดตาเราได้มาก ที่สุดในการสนทนาในครั้งนี้ คือ “ความเข้มแข็งของคนทำงานแบบนี้ มาจากการเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เงินไม่ใช่คำตอบของทุกอย่างแต่หัวใจของคนทำงานต่างหากที่จะบอกว่างานจะ สำเร็จ จะยั่งยืนได้มากแค่ไหน ปัญหาที่เกิดจากการไม่พูด ไม่เริ่มต้นทำอะไร ไม่สามารถทำให้ปัญหาจบลงได้ ปัญหาเหล่านั้นอยู่กับเราถ้าเราไม่แก้แล้วใครจะทำ”  ไม่ว่าปัญหามินดาเนาหรือสามจังหวัดจะเกิดเพราะใคร อย่างไรไม่ใช่สิ่งที่เราต้องมานั่งหา แต่ถ้าเรามองว่าปัญหานั้นเป็นของเรา อย่ารอให้ใครมาช่วยแก้ เพราะคนข้างนอกไม่เข้าอย่างที่เราเข้าใจ ไม่ได้รู้สึกอย่างที่เรารู้สึก และ MINDANEWS สร้างความเชื่อมั่นอีกอย่างว่า สื่อสร้างสงครามได้ ก็สร้างสันติภาพได้เช่นกัน...