Skip to main content

จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการเร่งด่วนในการจัดการกับผลกระทบของความรุนแรงต่อเด็ก เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ

ลอนดอน,  10  มกราคม 2558

เด็กได้ถูกนำเข้าร่วมและใช้โดยขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (บีอาร์เอ็น) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ซึ่งปฏิบัติการอยู่ในภาคใต้ของไทย  ซึ่งรวมถึงเด็กอายุเพียงแค่ 14 ปี    ชายด์ โซวเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวในรายงานซึ่งเผยแพร่ในวันนี้

รายงานเรื่อง “ภาคใต้ของประเทศไทย : การนำเข้าร่วมและการใช้เด็กโดยกลุ่มติดอาวุธ” ซึ่งมีความยาว 17 หน้าได้อธิบายรายละเอียดถึงรูปแบบการนำเด็กเข้าไปสู่ขบวนการต่อสู้ของบีอาร์เอ็น  ซึ่งพวกเขาได้ทำหน้าที่หลายบทบาท  ทั้งการหาข่าวเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐ  การเข้าไปมีส่วนในการใช้อาวุธและปฏิบัติการโจมตี  รวมไปถึงการสนับสนุนในด้านอื่นๆ   ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าเด็กที่ถูกนำเข้าร่วมและใช้โดยกลุ่มติดอาวุธในภาคใต้ของไทยนั้นมีจำนวนเท่าใด   แต่ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายได้เข้าร่วมในการเคลื่อนไหว

เด็กเป็นเหยื่อของความรุนแรงอันโหดร้ายในหลายๆ ด้าน  ซึ่งรวมถึงการโจมตีโรงเรียน  การลอบทำร้ายครูซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดความไม่ต่อเนื่องของการศึกษาในพื้นที่    บางครั้งเด็กซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธก็ถูกควบคุมตัวด้วยกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคงซึ่งใช้บังคับอยู่ในภาคใต้หรือถูกเรียกให้เข้าร่วมโครงการอบรมซึ่งดำเนินการโดยทหาร   กฎหมายพิเศษเหล่านี้ ทั้งพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  กฎอัยการศึก  พระราชกำหนดว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน   ถูกใช้ในหลายพื้นที่ในภาคใต้  ภายใต้กฎหมายเหล่านี้  ประชาชน  รวมถึงเด็ก สามารถถูกควบคุมตัวได้นานถึง 37 วันโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา   ที่ผ่านมามีการรายงานเกี่ยวกับการซ้อมทรมานในระหว่างการควบคุมตัวด้วยกฎหมายเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

“เด็กๆ ในภาคใต้ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานที่ไม่ได้รับการบอกกล่าว   พวกเขาต้องเห็นญาติมิตรถูกฆ่า โรงเรียนถูกโจมตีและถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคง”  นางชารู ลาตา ฮ็อก  ผู้จัดการโครงการเอเชีย ของชาวด์ โซวเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว  “กลุ่มติดอาวุธเช่นบีอาร์เอ็นจะต้องหยุดใช้เด็กที่มีความเปราะบางเหล่านี้ในกองกำลังของพวกเขาซึ่งทำให้พวกเด็กๆ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่รุนแรง”

การเข้าร่วมในกองกำลังของบีอาร์เอ็นของเด็กและเยาวชนนั้นเกิดขึ้นจากความอึดอัดคับข้องใจในทางประวัติศาสตร์  ความอยุติธรรมและความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ในทางศาสนาที่จะต้องต่อสู้กับคนที่เป็นตัวแทนหรือสนับสนุนรัฐไทย   เด็กๆ เข้าไปร่วมกับกลุ่มติดอาวุธด้วยหลายเหตุผล  บางคนเติบโตในครอบครัวที่เป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธ   หรือว่ามีสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทที่ถูกสังหารหรือจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคง  บางคนก็อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธ   แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีเด็กที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ  ความกดดันทางสังคมและการปลูกฝังในทางศาสนาทำให้เด็กและเยาวชนเห็นว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่พวกเขาจะต้องเข้าร่วม     แม้ว่าเด็กที่เข้าร่วมจะไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครองในทุกกรณีไป   แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าผู้ปกครองต่อต้านการตัดสินใจของเด็กที่ต้องการจะเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ

ในทางประวัติศาสตร์แล้ว  โรงเรียนปอเนาะดั้งเดิมหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งทั้งสองแบบมักจะถูกเรียกรวมๆ ว่าโรงเรียนปอเนาะนั้น  ดูเหมือนจะเป็นสถานที่สำคัญที่ถูกใช้ในการชักนำเด็กเข้าร่วมขบวนการติดอาวุธ   แต่อย่างไรก็ดี  การวิจัยของชายด์ โซวเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมพบว่านอกเหนือจากโรงเรียนแล้ว  เด็กและเยาวชนยังถูกชักชวนจากกลุ่มเพื่อนและคนรู้จักในชุมชนของพวกเขาซึ่งอยู่นอกเขตโรงเรียนด้วย   สมาชิกผู้ชาย 3 คนของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งสองคนอายุ 16 และ 17 ปีในขณะที่สัมภาษณ์ ได้รับการติดต่อจากเพื่อนของเขาที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธ

สมาชิกใหม่จะต้องผ่านการอบรมหลายขั้นตอนก่อนที่จะได้รับการมอบหมายให้ปฏิบัติการในฝ่ายการเมืองหรือการทหาร  ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการและความสามารถ  ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ในฝ่ายการทหารจะต้องได้รับการอบรมทางการทหารเพิ่มเติมซึ่งรวมถึงการฝึกร่างกายให้แข็งแรง การฝึกอาวุธ เช่น การใช้ปืนเอ็ม 16 ปืนอาก้ารุ่นต่างๆ และระเบิดยิง  M-79  รวมถึงเทคนิคการต่อสู้จรยุทธแบบต่างๆ   ผู้เข้าอบรมที่มีศักยภาพจะได้รับการคัดเลือกให้ฝึกการทหารในขั้นสูงที่เรียกว่า“คอมมานโด” ซึ่งรวมถึงการอบรมในการต่อสู้ในป่าเขา  การทำระเบิด และการเข้าปิดล้อมโจมตี

“รัฐบาลควรจะใช้วาระโอกาสวันเด็กแห่งชาตินี้ในการวางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันการนำเข้าร่วมและการใช้เด็กในการก่อเหตุรุนแรงใดๆ  ในภาคใต้” นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ  ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าว "ถ้าหากว่าไม่มีการวางมาตรการแบบบูรณาการ  เด็กๆ จะไม่สามารถปกป้องตนเองจากการละเมิดและความรุนแรง"

นับตั้งแต่ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นในเดือนมกราคม 2547  กลุ่มติดอาวุธได้โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง คนพุทธ และคนมุสลิมที่เชื่อว่าให้ความร่วมมือกับรัฐบาล  ความรุนแรงนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรมและศาสนาระหว่างชาวมลายูมุสลิมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่กับรัฐไทย  ความรุนแรงได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากว่าทศวรรษและไม่มีสัญญาณว่าจะยุติลงในอนาคตอันใกล้   มีผู้เสียชีวิตในเหตุความรุนแรงไปแล้วมากกว่า  6,100  คนและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 11,000 คน  เหยื่อส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ซึ่งรวมถึงเด็กด้วย

กลุ่มติดอาวุธและกองกำลังมีพันธะหน้าที่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในการหยุด  ระงับและป้องกันการนำเด็กเข้าร่วมและใช้เด็กในการสู้รบ  ประเทศไทยเป็นภาคีของบทบัญญัติว่าด้วยพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child - OPAC) ซึ่งห้ามกองกำลังของรัฐและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐนำเด็กเข้าไปร่วมในการสู้รบ

รายงานฉบับนี้มีข้อเสนอเร่งด่วนไปยังกลุ่มติดอาวุธและรัฐบาลไทย  ซึ่งรวมถึง

ข้อเสนอแนะต่อกลุ่มติดอาวุธ :

  • หยุดการนำเข้าร่วมและใช้เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 โดยทันทีและปล่อยตัวเด็กที่อายุต่ำกว่า18 จากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีการแก้แค้นต่อเด็กหรือครอบครัว
  • ตกลงต่อสาธารณชนในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศในการปราบปรามและป้องกันการนำเข้าร่วมและใช้เด็กในการสู้รบ
  • ออกคำสั่งและบังคับใช้คำสั่งกับผู้ปฏิบัติการในกลุ่มติดอาวุธให้ละเว้นการนำเข้าร่วมและใช้เด็กในการปฏิบัติการ และให้มีการเผยแพร่คำสั่งนี้ไปยังสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธและชุมชนที่กลุ่มติดอาวุธเคลื่อนไหวอยู่
  • อนุญาตให้สหประชาชาติและองค์กรมนุษยธรรมอิสระเข้าตรวจสอบ  ค้นหา  ปล่อยตัวเด็กจากการปฏิบัติการและนำเด็กกลับคืนสู่สังคม

ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย  :

  • จัดตั้งระบบเพื่อการเฝ้าระวังและรายงานการนำเข้าร่วมและการใช้เด็กโดยกลุ่มติดอาวุธ รวมถึงผลกระทบของความขัดแย้งในภาคใต้ต่อเด็ก โดยเฉพาะในด้านสุขภาพกายและจิตใจและการศึกษาของเด็ก
  • พัฒนายุทธศาสตร์ในหลายด้านและหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบของความขัดแย้งที่มีต่อเด็กและป้องกันการนำเข้าร่วมและใช้เด็กโดยกลุ่มติดอาวุธ
  • กำหนดอย่างเร่งด่วนให้การนำเข้าร่วมและใช้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ในกองทัพและกองกำลังติดอาวุธเป็นความผิดอาชญากรรม
  • สร้างความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารในภาคใต้ของประเทศไทยจะได้รับการอบรมในเรื่องสิทธิเด็ก  ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติว่าด้วยพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ  และตระหนักถึงบทบาทของเขาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการนำเด็กไปเข้าร่วมในการปฏิบัติการสู้รบ

หมายเหตุสำหรับบรรณาธิกร

ชายด์ โซวเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ทำการวิจัยใน 9 อำเภอในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสงขลาในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2556 ถึงเดือนเมษายน 2557  มีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับสมาชิกกลุ่มติดอาวุธทั้งอดีตและปัจจุบัน 26 คน  ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 13 คนเข้าร่วมก่อนอายุ 18 ปี มี 5 คนที่เข้าร่วมในช่วงระหว่างปี 2554 ถึง 2555 ในจังหวัดนราธิวาสและยังคงปฏิบัติการกับบีอาร์เอ็นอยู่ในช่วงปลายปี 2556

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการติดต่อเพื่อสัมภาษณ์ โปรดติดต่อ

  • ชารู ลาทา ฮ็อก  กับโฆษกของชายด์ โซวเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ในประเทศอังกฤษ) โทร +44 (0) 2073674112, มือถือ: +44 (0) 7906261291;
  • พรเพ็ญ  คงขจรเกียรติ  ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม  มือถือ + 66 86 709 3000

 

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่ http://voicefromthais.wordpress.com/2015/01/09/child-soldiers-international-report-on-thailand_2015-thai-and-english/

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

Child Soldiers International and Justice for Peace Foundation, Priority to Protect: Preventing children’s association with village defence militias in southern Thailand, February 2011:  http://www.child-soldiers.org/research_report_reader.php?id=291

Child Soldiers International, Thailand: OPAC Shadow report to the Committee on the Rights of the Child, September 2011, http://www.child-soldiers.org/research_report_reader.php?id=287

Committee on the Rights of the Child, Concluding Observations: Thailand (CRC/C/OPAC/THA/CO/1), 21 February 2012: http://tbinternet.ohchr.org/_layouts/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CRC/C/OPAC/THA/CO/1&Lang=En

For additional information on UN reports on underage recruitment and use in Southern Thailand, see the Report of the Secretary-General to the Security Council, A/68/878–S/2014/339, 15 May 2014, paragraphs 200-204