Skip to main content

 

ซาฮารี  เจ๊ะหลง   ผู้ปฏิบัติงาน สำนักสื่อ wartani

ข้าพเจ้าได้รับ จดหมายจากเรือนจำฉบับหนึ่งผ่านภรรยาของนายกามาลูดีน  อาแว ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหน้าตามาก่อนเลยในชีวิต หากแต่ว่าเรื่องเล่าในจดหมายของเขานั้นทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถอ่านแล้วเก็บไว้คนเดียวได้ ข้าพเจ้าอยากตีแผ่ให้สาธารณะชนได้รับทราบ ได้รับรู้ร่วมกันว่าเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ณ ดินแดนปาตานีแห่งนี้  เมื่อข้าพเจ้าได้คลี่จดหมาย ที่พับซ้อนกันถึง 5 แผ่น มีข้อความร่ายยาวดังนี้

 

 

ชีวิตที่ปลายด้ามขวาน

ครอบครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง เราอยู่กัน 3 คน มีพี่น้องรวมกัน 7 คน ชาย 4 หญิง 3 พี่ชาย 1 คน มีพี่สาว 2 คน น้องชาย 2 คน และน้องสาวสุดท้อง 1 คน ผมเป็นคนกลาง เราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อบ้านศาลา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หน้าบ้านมีบาลาเซาะ(สุเหร่า)  ด้านขวาบ้านมีโรงเรียนตาดีกา ซึ่งมีพ่อเป็นโต๊ะอีหม่าม (ผู้นำศาสนาในหมู่บ้าน) พ่อประกอบอาชีพทำสวน (กรีดยาง ) ฐานะครอบครัวก็พอกินพอใช้ แต่เราก็อยู่อย่างมีความสุข ชาวบ้านและคนรอบข้างก็ดีกับเราเสมอมาไม่เคยมีปัญหากับใครๆก็เคารพพ่อมาตลอด 

ประมาณต้นปี 47 เหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มมีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และหมู่บ้านผม ก็ตกเป็นหมู่บ้านพื้นที่สีแดง ซึ่งในความหมายของรัฐแล้วคือหมู่บ้านที่อันตรายและไม่ปลอดภัย ซึ่งเมื่อไม่ปลอดภัยแล้ว รัฐก็พยายามหาเป้าหมายที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในพื้นที่ หนึ่งในนั้นก็มีพ่อของผมที่ตกเป็นเหยื่อต้องสงสัย ซึ่งเหยื่อที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยนั้นมักจะเป็นผู้นำศาสนาและครูสอนตาดีกาในพื้นที่นั้นๆ ในยุคนั้นเมื่อเกิดเหตุอะไรก็ตาม รัฐมักจะโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบ เกิดเหตุทุกครั้งพ่อผมก็ถูกเพ่งเล็ง มีเจ้าหน้าที่มาถามไถ่ว่า อยู่บ้านไหม ไปไหนมา ทำงานอะไร ลูกชายอยู่ไหน สารพัดคำถาม 

 

มันเป็นสัญชาตญาณของประชาชนในสมัยนั้น ส่วนใหญ่ แค่เห็นหน้าเจ้าหน้าที่ทหารที่มาเป็นสิบๆคน ยังไม่ทันพูดก็กลัวแล้ว อีกทั้งยังสื่อสารกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ ทำให้เกิดปัญหา ทหารก็หาว่าไม่ให้ความร่วมมือ  นานๆเข้าเหตุการณ์ไม่เห็นท่าทีจะสงบทหารก็ยังมาที่บ้านถี่ขึ้น แล้วมาถามหาถึงพี่ชายผมและกล่าวหาว่าเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่ ( น่าจะเป็นเพราะมาหาแล้วไม่เคยเจอ)

 

ด้วยความไม่คุ้นเคย และหวาดระแวงพี่ชายก็ไม่กล้าที่จะพบกับเจ้าหน้าที่ เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนั้นหวาดกลัวเจ้าหน้าที่มาก บางคนโดนอุ้มบ้าง บางคนโดนจับแล้วซ้อมบ้าง กลับมาก็มีบาดแผลติดตัว จนทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่พบ เพราะความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน การใช้กฎหมายพิเศษ  หากสงสัยใครก็เชิญตัวไป หากไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะออกหมาย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จนทำให้คนในพื้นที่มีหมาย พ.ร.ก. ติดตัวเกลื่อน หากเจ้าหน้าที่เข้าไปในหมู่บ้านเมื่อไหร่ บ้านผมจะเป็นเป้าหมายแรกที่จะเข้าตรวจค้น และตกเป็นเหยื่อต้องสงสัยทั้งบ้าน รวมถึงพี่ชายของแม่ผม  (ลุง ) เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ก็ไม่เว้นลุงก็ถูกออกหมาย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และถูกเชิญตัวไปซักถาม ลุงผมก็ไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่สุดท้าย...

 

ฝันร้ายมาเยือน

เหตุการณ์สะเทือนใจของครอบครัวผมก็มาถึง เมื่อประมาณ ปี 2006 ในเดือนรอมฎอน ก่อนวันรายอ 6 วัน ลุงผมก็ถูกลอบยิง บนถนนบ้านโคก – ยานิง จนเสียชีวิต

จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้บ้านผมยิ่งร้อนระอุ พี่ชายและพ่อเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อและคิดว่าการตายของลุงเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ผมตัดสินใจพูดกับพ่อ ไม่ให้พ่อไปทำงาน เพราะปกติแล้วพ่อต้องไปกรีดยาดยางอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 6 กิโล ซึ่งมันเสี่ยงต่อชีวิต เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่ดีไม่ร้ายอีก หลังจากที่พ่อไม้ได้ไปทำงาน มีเจ้าหน้าที่มาถามไถ่พ่อว่า ทำไมไม่ไปกรีดยาง  แต่พ่อก็บอกว่าไปทุกวัน วันถัดมาก็มาถามอีกว่าทำไมไม่ไปกรีดยาง พ่อก็โกหกอีกว่าไป

หลังวันรายอ(วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม) 6 วัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับครอบครัวผมอีก(มันเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่) เมื่อเวลาประมาณ 05.00น.เช้า ในขณะที่พ่อลงจากบ้านซึ่งมีแม่ตามหลังมา เพื่อลงไปละหมาด (ซุบฮี) ที่สุเหร่าหน้าบ้าน พอมาถึงหน้าสุเหร่า มีชายฉกรรจ์ หลายคน แต่งกายชุดคล้ายทหาร มีอาวุธครบมือ กราดยิงพ่อผมตั้งแต่หน้าสุเหร่า จนถึงด้านในสุเหร่า พอพ่อโดนยิงนัดแรกพ่อก็ตักบีร อัลลอฮฮูอักบัรๆ และวิ่งหนีจนถึงด้านในสุเหร่าร่างพ่อล้มลงบนผ้าปูละหมาด และเสียชีวิตในที่สุด เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแม่ แม่ผมร้องขอพอแล้วๆ แต่เค้าก็ยิงอย่างไม่ยั้ง มันอำหิตผิดมนุษย์ อะไรมันช่างโหดร้ายขนาดนี้ ยิงจนเค้าแน่ใจว่าเสียชีวิตแล้ว จึงล่าถอยไปกับรถยนต์ที่ติดเครื่องรออยู่แล้ว (ที่แน่ๆพ่อไม่เคยมีศัตรูที่ไหนเลย ชาวบ้านเคารพพ่อ ) ในคืนเกิดเหตุผมนอนอยู่บ้านกับยายซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นเป็นชุดๆ ผมรู้สึกสังหรณ์ใจ จึงตัดสินใจกลับบ้าน แต่ระหว่างทางก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านไม่ให้เข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งห่างกันเพียง 5 นาที กับเสียงปืนที่ดังขึ้น ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเสียงปืนนั้นคร่าใคร และเอาชีวิตใครไปแล้ว  สักพักชาวบ้านพากันแตกตื่น ต่างก็มาเพื่อต้องการจะเข้าไปในหมู่บ้านเป็นร้อยๆคน จนเจ้าหน้าที่ยอมให้เข้าไป พอถึงบ้านทุกคนก็หันมามองผม พร้อมพูดว่าพ่อแกเสียชีวิตแล้ว อยู่บนบ้าน ชาวบ้านช่วยกันพาขึ้นไป 

 

ความรู้สึก ณ ตอนนั้นผมตกใจมากและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดข้น มันเกิดขึ้นจนได้ ฝันร้ายยังไม่หายไปจากการที่สูญเสียลุงไม่กี่วันก็มาสูญเสียพ่ออีก อีกด้านหนึ่ง ก็รู้สึกแค้นถึงการกระทำอันไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ที่ทำต่อประชาชนที่ไม่มีแม้แต่อาวุธ ผมรู้สึกเจ็บปวดเกินคำบรรยายจริงๆ ยิ่งกว่านั้นแม่ผมยิ่งเจ็บกว่าใครๆในเวลาไม่ถึง 10 วัน ความรุนแรง ความอำมหิต สร้างความสูญเสีย 2 ชีวิตในครอบครัวเดียวกัน

 

ความเจ็บช้ำของแม่

แม่ต้องสูญเสียพี่ชายตัวเอง และต้องสูญเสียสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวและลูกๆอีก 7 คน ตอนนั้นน้องสาวคนสุดท้องอายุไม่เกิน 10 ปี ต้องมากำพร้าพ่อด้วยกระสุนแห่งความรุนแรงในช่วงเวลาที่ศพพ่ออยู่บนบ้าน มีเจ้าหน้าที่มาหา ทั้งตำรวจ ทหารมาเต็มเพื่อ เอาศพพ่อไปชันสูตรที่ รพ. แต่ทางครอบครัวไม่อนุญาตเนื่องจากเชื่อทางศาสนาของคนที่นี่ หากตั้งศพไว้นานๆจะไม่ดี ทำให้ศพต้องทรมาน ผมไม่อยากให้พ่อทรมานผมอยากให้ทำพิธีเสร็จเร็วๆ หากจะชันสูตรก็ให้ทำที่บ้านนี่แหละ เจ้าหน้าที่ก็ยอม พร้อมทั้งกล่าวว่า "อย่าจับเป็นตัวประกันนะ ถ้าไม่อยากให้มีการสูญเสียมากกว่านี้"  เป็นคำพูดของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่ามกลางชาวบ้านนับร้อยๆคน ทุกวันนี้ผมก็ยังจำคำนี้ได้ดี และไม่เคยลืม

 

จากนั้นญาติก็นำศพไปฝังทำพิธีเรียบร้อยที่กูโบร์(หลุมฝังศพ) บ้านยานิง ปกติจะเฝ้าทำบุญให้ผู้ตาย โดยเฝ้า 7 วัน  แต่ความตั้งใจของเรานั้นเห็นท่าทีจะไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว เมื่อมีเจ้าหน้าที่มาติดตามเฝ้าดูตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน หากใครเข้ามาก็จะถามเลยว่ามาจากไหน รู้จักกันยังไง  ทำให้ชาวบ้านเกิดความระแวงอีก ไม่มีใครกล้ามาเฝ้ากูโบร์ของพ่อ เขาบอกว่าจะช่วย แต่กลัวเจ้าหน้าที่ ดูเหมือนว่า ชาวบ้านจะทราบดีถึงสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อผม ลุงผม  เราไม่สามารถทำอย่างที่ตั้งใจไว้

 

ลุงโดนลอบยิง พ่อโดนยิง ยังไม่พอ ....เป้าหมายต่อไป ใคร จะเป็นผู้รับเคราะห์ความรุนแรง ความโหดร้ายรายต่อไป(คดีของพ่อและลุงตำรวจสรุปว่าเป็นคดีส่วนตัว) เมื่อเป้าหมาย 1และ2 กลายเป็นศพเจ้าหน้าที่ก็เดินหน้าต่อไป ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้

        หลังจากการเสียชีวิตของพ่อแล้ว บ้านผมก็ยังต้องมารับภาระความรุนแรงที่เห็นทีจะยังไม่คลี่คลาย เมื่อเจ้าหน้าที่มาหา มาค้นและต้องการตัวพี่ชาย ที่มีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งๆที่พี่ชายไม่เคยกลับบ้านก่อนที่ลุงจะเสียชีวิตอีก แม้กระทั้งวันที่พ่อเสีย ก็ไม่กลับมาดูศพพ่อเลย  และแม่ก็คงไม่มีโอกาสเห็นหน้าลูกได้อีกต่อไป แม่ไม่ให้พี่ชายกลับบ้านกลัวโดนเหมือนลุงกับพ่อ พี่ชายต้องย้ายไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนตัวผมเลือกที่จะดูแลแม่ แต่ผมต้องอยู่อย่างหวาดระแวง แม่ไม่ให้ผมออกจากบ้าน ไม่ให้คบเพื่อน อยู่แต่ในบ้าน ชีวิตคนในครอบครัวผมไม่เคยมีความสุขเลย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆเข้ามาในครอบครัวผม ตอนนั้นอยู่แต่ในบ้านมันยิ่งตอกย้ำความลำบากซึ่งผมก็ไม่สามารถออกมาทำงานได้เนื่องจากผมหวาดระแวงไปหมด แม่ไม่ให้ทำงาน เพราะไม่อยากให้เป็นเป้านิ่ง ที่จะเอาชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้

 

จนสุดท้ายเมื่อมาหาพี่ชายผมไม่เจอ เป้าหมายต่อไป คือผมเจ้าหน้าที่มาหาผมที่บ้านแต่แม่บอกว่าผมไม่อยู่บ้าน เนื่องจากกลัวว่าลูกต้องตกในอันตราย และแล้วในที่สุดผมก็หนีไม่พ้นอยู่ดี เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผมมีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางระเบิด 2 จุด ในหมู่บ้านใกล้เคียง ทำให้ผมต้องอยู่อย่างลำบากอีก อยู่กับยายบ้าง อยู่กับพี่สาวบ้าง ในที่สุดผมก็ถูกควบคุมตัวในปี 52 ในขณะที่ผมเดินทางไปบ้านพี่สาว ผมถูกควบคุมตัวที่ค่ายปีเหล็ง 4 วัน และที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ยะลา  14 วัน เป็น 18 วันแล้วปล่อยตัว พร้อมกับออกหนังสือรับรองเพื่อยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาทั้งหมด (หนังสือรับรองสถานภาพ) 

 

        หลังจากที่ปล่อยตัวผมก็มีเงื่อนไขอีกโดยให้ผมไปรายงานตัวทุกอาทิตย์นานหลายเดือน  และยังมีการมาหาที่บ้านนับครั้งไม่ถ้วนและยังต้องไปอบรมโดยผมก็ให้ความร่วมมือมาตลอด เพราะเจ้าหน้าที่อ้างว่าจะปลด พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ 

 

           เหตุการณ์ทั้งหมดที่คิดว่าน่าจะคลี่คลายและผ่อนปรนไปบ้าง ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับแม่ แล้วมามีครอบครัว (แต่งงาน) ประมาณปี 52 แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านของภรรยาตั้งแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบัน

 

แต่เหตุการณ์ต่างๆก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆหลังจากแต่งงานผมก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย เพราะแม่ไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย แม่กลัวจะเกิดเหตุร้ายๆอีก ผมก็ไม่รับรู้เรื่องที่บ้านอีกเลย ถึงผมโดนควบคุมตัวแล้วโดนปล่อยตัวแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็ยังไปหาผมที่บ้านอีก หาพี่ชายบ้าง หาผม บ้าง แม่ไม่มีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่บ้านเลย

 

จนถึงบั้นปลายของชีวิต แม่ก็มีโรคประจำตัว มีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง แต่ผมก็ไม่มีโอกาสดูแลท่านอย่างเต็มที่ และสุดท้าย แม่ก็ได้เสียชีวิตลงท่ามกลางความรุนแรงที่ไม่รู้จบสิ้นที่มีต่อครอบครัวเราครั้งแล้วครั้งเล่า  ผมเสียใจมาก ผมเชื่อชีวิตของแม่ไม่เคยมีความสุขเลยนับแต่การเสียชีวิตของลุงและพ่อ พวกเราอยู่อย่างหวาดระแวงมาตลอด ครอบครัวเราไม่เคยมีความสุขเพราะถูกคุกคามโดยกฎหมายและผู้ใช้กฎหมาย กดขี่ ข่มเหงอย่างไร้มนุษยธรรม

 

ผมไม่กล้ากลับบ้านตัวเอง

ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่กลับบ้านอีกเลย เว้นแต่วันสำคัญวันรายอเท่านั้น ผมไปอาศัยบ้านแฟนซึ่งเป็นบ้านของยายแฟน แรกๆแรกผมประกอบอาชีพทำสวน แต่พอมีลูกผมก็เริ่มหาอาชีพเสริม ด้วยการไปซื้อของจากมาเลย์มาขายตามร้านค้าใกล้บ้าน ทำประมาณ 4-5 ร้าน เราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

สุดท้ายผมก็หนีไม่พ้นกฎหมายบ้านเมืองที่คุกคาม และบิดเบือนไร้มนุษยธรรมเช่นเดิม เล่นงานต่อโดยไม่คิดคาดคิดมาก่อนเลยว่ามันจะตามมายัดเยียดถึงบ้าน ทั้งๆที่เราอยู่ไกลพอสมควร แต่มันก็ตามรังควานจนได้  เมื่อมีเหตุการณ์คนร้ายลอบยิง อส.หญิง ที่บ้านมะรือโบอก จนเสียเสียชีวิต เมื่อวันที่ 2 พ.ค. พ.ศ.2555 เวลาประมาณ 16.15 น. เป็นเหตุทำให้เจ้าหน้าที่ไปปิดล้อมบ้านผม แต่ไม่พบตัว

 

วันที่2 พ.ค. พ.ศ.2555  เวลาประมาณ 20.00 น. ผมได้รับโทรศัพท์จากน้องชายบอกว่ามีเจ้าหน้าที่นับร้อยมาปิดล้อมที่บ้าน และถามถึงตัวผม แต่ผมไม่อยู่บ้าน คนข้างบ้านถามเจ้าหน้าที่ว่ามีเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่บอกว่าเราเป็นผู้ก่อเหตุยิง อส. เมื่อตอนเย็นนี้ คนข้างบ้านบอกเจ้าหน้าที่ว่าผมไม่อยู่บ้านนี้มานานแล้ว เจ้าหน้าที่ พูดว่า มันไม่อยู่แสดงว่ามันหนี  ผมทราบข่าวก็ตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวเดิมๆเกิดขึ้นอีก  ปรึกษากับแฟนจะเดินหน้าอย่างไรดี อีกแง่หนึ่งผมคิดว่า หากเจาหน้าที่ต้องการตัวผมจริงๆ พรุ่งนี้เขาต้องมาหาเราอีกแน่นอน เราไม่ได้ทำ เราต้องเผชิญกับมัน วันที่ 3 พ.ค. พ.ศ.2555 ผมและครอบครัว พากันไปบ้านแม่ยายซึ่งห่างจากบ้านผมประมาณ 2 กิโล เพื่อไปรอเจ้าหน้าที่เผื่อจะมาหาอีก แต่ก็ไม่มีใครมาหา จนกระทั้งวันที่ 4 พ.ค. และ 5 พ.ค. ปี55 ผมก็คงรออีก แต่ก็เงียบไปผมเลยคิดว่าคงไม่มีอะไร อาจจะเข้าใจผิด ถ้าเขาต้องการตัวผมจริงๆเขาคงมาหาผมหรือไม่ก็แจ้งกำนัน/ผู้ใหญ่บ้านให้ผมไปมอบตัว แต่ไม่มีใครมาติดต่อผมอีกเลย หลังจากนั้นผมก็ไปมาเลย์ตามปกติ  แต่เมื่อวันที่  10 พ.ค. พ.ศ.2555 ในขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวจะไปบ้านแม่ยายเพื่อไปฝากลูกแล้วต้องไปมาเลย์นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์จากแฟน ด้วยคำพูดที่สั่นเครือ ตกใจ บอกว่ามีตำรวจไปหาถึงที่ รพ.(ที่ทำงาน ) บอกแฟนว่าสามีมีหมายจับ ป.วิอาญา ให้ไปมอบตัวที่โรงพัก

 

หลังจากทราบข่าวก็ไม่ได้ไปทำงานอีกเลย  และปรึกษาครอบครัว พี่สาวว่าจะทำอย่างไรต่อไป เลยตัดสินใจปรึกษาทนายความ(ศูนย์ทนายความมุสลิม ) เพื่อติดต่อมอบตัวและแสดงความบริสุทธิ์ ต่อเจ้าหน้าที่ เพราะทุกอย่างผมถูกยัดเยียด โดนใส่ร้าย ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

 

ข้อเท็จจริงที่ปราศจากการรับฟัง

ความเป็นจริงแล้ว วันที่ 2 พ.ค. พ.ศ.2555 ขณะที่อยู่บ้านเฟน หลังจากกลับจากกรีดยางเวลาประมาณ09.00 น. ก็ได้เตรียมตัว เตรียมสัมภาระของลูกตอนนั้นลูกอายุ 1 ขวบเศษ เพื่อเดินทางไปฝากลูกที่บ้านแม่ยายที่ อ.เจาะไอร้อง (บ้านแฟนอยู่ อ .ระแงะ) ส่วนแฟนก็ไปทำงานก่อนหน้านี้แล้ว ผมเดินทางไปกับลูกด้วยความลำบากเนื่องจากลูกยังเล็กอีก ขับรถไปลูกนั่งตัก ค่อยๆขับ ถึงบ้านแม่ยายประมาณ 10.00 น. ก็พักบ้านแม่ยายก่อน เช็คสินค้าที่ต้องซื้อ  ผมหยุดทำภารกิจที่บ้านแม่ยาย โดยได้กินข้าวเที่ยง และละหมาดเสร็จ จากนั้นก็เริ่มเดินทางโดยออกจากบ้านประมาณ 13.30 คนเดียว โดยผ่านเส้นทางบ้านกือรง ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง แล้วออกที่ บ้านปาเระรูโบะ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง เพื่อมุ่งหน้าไปยังมาเลย์ โดยใช้ใบเบิกทางเป็นหลักฐานในการเข้าออก ระหว่างประเทศ ฝั่งไทยจะไม่ตรวจ ส่วนฝั่งมาเลย์ ผมจะยื่นโชว์เขาก็ให้ผ่าน วันนี้เดินทางมาไม่ได้เจาะพาสปอร์ต (ไม่ได้ตรวจลงตราหรือไม่ได้ประทับตราผ่านเข้าเมือง ชาวบ้านเรียกว่าเจาะพาสปอร์ต) เพราะวันที่ 1 พ.ค.2555 ผมเพิ่งเจาะพาสปอร์ต โดยปกติคนที่เดินทางเข้าออกบ่อย เมื่อเราเจาะพาสปอร์ต เข้าวันที่ 1 แล้ว เขาก็จะให้เวลาเราอีก 14 วัน จึงเจาะพาสปอร์ตออก 

 

ถึงประเทศมาเลย์ผมก็เลือกซื้อสินค้าตามปกติ เวลามันก็ไม่แน่นอน หลังจากซื้อสินค้าเสร็จ ผมก็ละหมาดอัสรี ที่นั้นเลย จากนั้นจึงเดินทางกลับมายังด่านศุลกากร สุไหงโก-ลก เวลาประมาณ 16.00 น. และได้ยื่นใบขนสินค้าพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย เพื่อประทับตราวันที่ 2 พ.ค. พ.ศ.2555  ที่ด้านหลังใบขนสินค้าและเขาได้ทำการตรวจสินค้า หากสินค้าเยอะก็ต้องเสียภาษี วันนี้ผมไม่เสียเพราะสินค้าก็ไม่เยอะ จากนั้นก็ได้เดินทางกลับบ้านโดยใช้เส้นทางทรายทอง และออกมาที่ก่อนถึงตัวเมืองสุไหงโก-ลก และใช้เส้นทางจารุเสถียร ตลอดถึงบ้านปาเระรูโบะ เลี้ยวเข้าบ้านกือรง เช่นเดียวกับขาไป ถึงบ้านเวลา 17.20 น เมื่อถึงบ้าน พ่อตาถามว่าเดินทางมาทางไหน  เขาบอกว่าหากผ่านทางมะรือโบ(เส้นทางปกติ)ไม่แน่ใจว่าผ่านได้มั้ย ชาวบ้านเล่าว่ามีเหตุยิงกัน พ่อตาเล่า ผมก็ฟังเสร็จก็ไม่สนใจอะไรเพราะผมไม่ได้ผ่านทางนั้น ผมรับลูกและแฟน เพื่อกลับบ้านที่ อ .ระแงะ และแวะส่งของที่ สหกรณ์ บ้านศาลาด้วย เสร็จงานประมาณ 18.00 น. แล้วเดินทางกลับบ้านแฟน

 

กลับบ้านถึงได้ทราบข่าวเวลาประมาณ 20.00 น. จากน้องชายว่า มีเจ้าหน้าที่ มาปิดล้อมบ้าน ผมไม่อยู่บ้าน กล่าวหาว่าผมเป็นคนก่อเหตุแล้วหนี 

 

จนนำมาซึ่งการตัดสินใจไปหาทนายความเพื่อไปมอบตัว ผมไปมอบตัววันที่  2 พ.ค. พ.ศ.2555 ผมกล้าไปแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะผมคิดว่าผมมีทั้งหลักฐาน ซึ่งเป็นใบขนสินค้า และผมเชื่อว่าผมเดินทางผ่านด่าศุลกากรสุไหงโก-ลก ต้องมีกล้องวงจรปิดแน่นอน

เมื่อมาถึงโรงพัก คำแรกที่เจ้าหน้าที่พูด คือ คุณหนีไปไหนมา ผมตอบว่า ผมไม่ได้หนี ผมอยู่บ้านตลอด เจ้าหน้าที่ถามต่อ ทำไมไปหาที่บ้านแล้วไม่เจอ และยังบอกอีกว่าก่อนหน้านี้ 2 อาทิตย์ผมอยู่บ้าน ก่อเหตุเสร็จก็หนี  ผมตอบเขาว่า แค่2 อาทิตย์มันน้อยไป เพราะผมไม่อยู่บ้านนั้น 2 ปี แล้ว เขาถามว่าไม่อยู่แล้วทำไมไม่ย้าย ผมไม่ย้ายที่อยู่มันผิดด้วยหรือ ผมยังมีญาติอยู่ที่นั้นและผมก็ยังสะดวกที่จะกลับไปบ้านนั้นอีก ที่สำคัญเขากล่าวหาว่าผมยิงแล้วโดนยิงสวนที่ขา โดยมีแฟนเป็นคนรักษาคงหนีไปไม่ไกล ผมเปิดให้เขาตรวจ ร่างกาย พอเขาไม่เจอแผลอย่างที่อ้าง ก็พูดอีกว่า(พูดกลับคำ) นายเป็นคนยิง ไม่ได้โดนยิง แต่คนที่โดนคือ คนขับรถ ผมถามเขาว่าทำไมไม่จับเขาด้วย เจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะคนขับสวมหมวก แต่คนยิงไม่ใส่ ซึ่งอ้างว่ามีคนเห็นผม(ประจักษ์พยาน)ว่าผมเป็นคนก่อเหตุ  คนก่อเหตุ 2 คน แต่จับผมคนเดียว 

 

จากนั้นผมก็ให้การตามข้อเท็จจริง พร้อมยื่นหลักฐาน ซึ่งเป็นใบเบิกทาง และใบขนสินค้าพิเศษที่มีตราปั้มของวันที่  2 พ.ค. พ.ศ.2555 แต่ไม่ระบุเวลา และผมได้บอกตำรวจอีกว่าให้ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดด้วย เพื่อแน่ใจว่า ประมาณ 16.00 (เวลาเกิดเหตุ) ซึ่งผมอยู่ที่ด่านสุไหงโก-ลก ย้ำอีกว่าให้ตรวจสอบทั้งหมด แต่เขาพูดลอยๆว่ากล้องใช้งานไม่ได้ ผมถามต่อ จากสุไหงโก-ลก ถึง เจาะไอร้องไม่มีเลยหรือ ยิ่งที่สำคัญที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมไม่เชื่อว่าไม่มี  ผมถามต่อ ทำไมเวลามีเหตุระเบิดหรืออะไรก็ตามที่ตำรวจได้ประโยชน์จากกล้อง มักจะจับคนร้ายได้จากกล้องวงจรปิด แต่เมื่อเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องหากล้องกลับใช้งานไม่ได้โดยปริยาย เป็นการอ้างโดยไร้เหตุผล อ้างลอย ๆ 

 

ตำรวจได้จัดฉากให้มีการชี้ตัวผม ซึ่งอ้างว่าคนที่ชี้ผมเห็นเหตุการณ์ว่าผมเป็นคนยิง ตอนแรกก่อนชี้ตัวผม หลังเกิดเหตุเขาได้ไปชี้รูปผมก่อนที่โรงพักซึ่งตำรวจเอามาให้ดูว่ารูปนี้ เป็นรูปผู้ก่อเหตุในพื้นที่ประมาณ 50 ภาพ หนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย เขาก็ชี้ที่รูปผม ผมไม่รู้เหตุใดเขาจึงชี้รูปผม ผมกับเขาก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ในที่เกิดเหตุไม่มีหลักฐานอื่นใดเลย นอกจากพยานเท่านั้น

 

หลังจากมอบตัวแล้วพี่สาวประกันตัวชั้นโรงพัก 20,000 บาทพร้อมรับทราบข้อกล่าวหา และผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

 

ผมจะเดินหน้าสู้คดีต่อ หลังจากที่มอบตัวแล้ว วันที่ 24  พ.ค. พ.ศ.2555 ผมและแฟนเดินทางไปยังด่านสุไหงโก-ลก เพื่อขอดูกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับผม แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไม่ได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มี ไม่สามารถซูมป้ายทะเบียนรถได้ 

 

ผมประกันตัวสู้คดีมาตลอด สุดท้ายศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต