(ร่าง) กาหนดการ การสัมมนาวิชาการ
พื้นที่กลางทางความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์ กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08.00 – 16.00 น.
ห้องประชุมอิมาม อัลนาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
กำหนดการช่วงเช้า
08.00 –08.30 น. ลงทะเบียน
08.30 – 09.00น. การแสดงศิลปวัฒนธรรมชายแดนใต้ โดยนักศึกษาสาขาสังคมสงเคราะห์
09.00– 09.30 น. พิธีเปิดงานสัมมนา
กล่าวรายงาน โดย นางสาวเมธาพร ชื่นชม ประธานโครงการฯ
กล่าวเปิดงาน โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ปริศวร์ยิ้นเสน
คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์*
09.30– 10.15น. การกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “พื้นที่กลางทางความรู้….กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
10.15– 11.30น. การเสวนาหัวข้อ “พื้นที่กลางทางความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์
กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”
วิทยากรโดย
-อาจารย์หริรักษ์ แก้วกับทองผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
- นายอักรอม เลิศอริยะพงษ์กุล นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปัตตานี
- คุณโซเฟีย เจ๊ะนารองผู้จัดการโครงการเยาวชนต้นแบบเติมความหวังสู่สังคม Harapan Kampong (HAKAM)- HOPE Yala
ดำเนินรายการโดย นายเอียะห์ซาน บิลังโหลด นักศึกษาสาขาสังคมสงเคราะห์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
11.30 – 12.00 น. การแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น การถาม-ตอบ และ สรุปประเด็นจากการเสวนา
12.00 – 13.15 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
กำหนดการช่วงบ่าย
ช่วงเวลา |
ห้องย่อยที่ 1 (58306) |
ห้องย่อยที่ 2 (58307) |
ห้องย่อยที่ 3 (58309) |
ห้องย่อยที่ 4 (58310) |
13.15 – 14.45 |
ประเด็นที่ 1 “จากข้อมูลเคสรีวิวสู่เส้นทางการทำงานเชิงนโยบาย (Form Case Review to Policy Advocacy) วิทยากรโดย: นายแวอิบรอเฮม แวบือราเฮง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผน สำนักประสานนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ศอ.บต) ผู้ดำเนินรายการ : นายบาซีร ยูนุห์ พิธีกร : นายนาซีร ยูนุห์ |
ประเด็นที่ 1 “งานสังคมสงเคราะห์ ในมิติความเท่าเทียม ความเป็นธรรม และการสร้างเสริมศักยภาพให้แก่ผู้พิการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้” วิทยากรโดย นางสาวปภารัช พวงน้อย (นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปัตตานี) พิธีกร : นายณัฐวัตร เกิดหิรัญ
|
ประเด็นที่ 1 “บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น” วิทยากรโดย นางสาวอารีนา บิลเส็ม (นักสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลหาดใหญ่) พิธีกร : นายอาฟิต เจ๊ะปอ และนางสาวนูรไอนีย์ เจะดือราแม
|
ประเด็นที่ 1 “รักอย่างไร ให้สุขใจและปลอดภัย” วิทยากรโดย R.KUMARASHWARAN VADEVELU พิธีกร : นางสาวเกวลิน บวชเดช นางสาวนูรไอนี สะตี
|
14.45 – 15.00 |
ช่วงพักเบรก |
ช่วงพักเบรก |
ช่วงพักเบรก |
ช่วงพักเบรก |
15.00 – 16.15 |
ประเด็นที่ 2 “ไทยแลนด์ 4.0 บริการชุมชนเชิงนวัตกรรมในงานสังคมสงเคราะห์” วิทยากรโดย นายอิสมาแอ ยูนุห์ (ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองสุไหงโกลก) ผู้ดำเนินรายการ : นางสาวอามานี แสแลแม พิธีกร : วราภรณ์ สุวรรณธาดา
|
ประเด็นที่ 2 “เสียงภายในที่ต้องรับฟัง: รูปแบบและวิธีการจัดการความรู้สึกของนักสังคมสงเคราะห์” วิทยากรโดย นางสาวทิชากร เปรมปราโมทย์ (นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดปัตตานี) นายโองการ หรันเต๊ะ (นักวิชาการอิสระ หมวดจิตวิทยา) และนางสาวฮายาตี บินดอเล๊าะ (นักศึกษาสาขาสังคมสงเคราะห์) ผู้ดำเนินรายการ : นายเอียะห์ซาน บิลังโหลด พิธีกร : นายอัสรี เจะแม |
ประเด็นที่ 2 “แนวทางการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้” วิทยากรโดย นางสาวณัฐสิมา บุญมา (บัณฑิตสาขาสังคมสงเคราะห์) และนางสาวอาซีซะห์ เจ๊ะอุมาร์ (นักศึกษาสาขาสังคมสงเคราะห์) พิธีกร : อภิวรรณ แกสมาน
|
ประเด็นที่ 2 “แนวทางการรับมือของนักสังคมสงเคราะห์ต่อพฤติกรรมการใช้ความรุ่นแรงของเด็กและเยาวชน” วิทยากรโดย นางสาวกูนูรียา พระพิทักษ์ (นักศึกษาสาขาสังคมสงเคราะห์) พิธีกร : นายอุมาร กาหนุง
|
|
ผู้วิพากษ์ : นางฟารีดา ปันจอร์ นายจิรัชยา เจียวก๊ก |
ผู้วิพากษ์ : นางสาวนท ศิริกาญจน์ นายอิมรอน ซาเหาะ
|
ผู้วิพากษ์ : นางสาวยาสมิน ซัตตาร์ อาจารย์จุฑารัตน์ แสงทอง |
ผู้วิพากษ์ : นายอักกรอม เลิศอริยะพงษ์กุล นางสาวอมรพรรณ วงษ์เพชร |
โครงการสัมมนาวิชาการ
พื้นที่กลางทางความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์ กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
1. ชื่อโครงการ พื้นที่กลางทางความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์ กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
2. หลักการและเหตุผล
ในสังคมที่มีเสรีภาพ คนทุกกลุ่มควรจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องของการพัฒนา ป้องการ แก้ไข หรือขัดการปัญหาต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน และกลไกทางสังคมกลไกหนึ่งที่จะสร้างสมดุลระหว่างมิติต่างๆ นั้นก็คือ “พื้นที่สาธารณะ” (public sphere) นั่นเอง เนื่องจากคุณสมบัติประการหนึ่งของ “ความเป็นพื้นที่สาธารณะ” ก็คือ ในพื้นที่ดังกล่าว คนทุกคนจะสามารถสื่อสารได้อย่างเต็มที่ และพื้นที่สาธารณะจะต้องทำหน้าที่เป็นกลไกที่เข้มแข็งพอที่จะไม่ปล่อยให้ผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางคน/คนบางกลุ่มเข้ามาครอบงำได้ ส่วนพื้นที่สาธารณะจะเข้มแข็งได้หรือไม่นั้น ก็ต้องมีเงื่อนไขทางสังคมบางประการมารองรับ คือ การมีเสรีภาพทางความคิดและข้อถกเถียงกันบนหลักเหตุและผลหลายๆ ประเภท ซึ่งปัจจุบันหากมองกลับมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว พบว่ายังขาดเงื่อนไขดังกล่าวอยู่ส่วนสำคัญอันหนึ่งของข้อจำกัดที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เป็นความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่องและยังเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเรื้อรัง ข้อมูลจากคณะทำงานฐานข้อมูลเหตุการณ์ชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (2560) พบว่าในระหว่างเดือนมกราคม 2547 – ธันวาคม 2559 มีเหตุการณ์ตวามรุนแรงเกิดขึ้นประมาณ 19,000 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 6,400 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 12,800 ราย ความรุนแรงมีตรรกเหตุผลบางอย่างที่สามารถอธิบายได้ ปัจจัยที่เป็นตัวขับเคลื่อนความรุนแรงและความขัดแย้งสะท้อนรากเหง้าของปัญหาที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น ประเด็นเรื่องประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์และศาสนา ซึ่งลักษณะของปัญหาดังกล่าวมีความสัมพันธ์กันอย่างซับ ซ้อนและมีความเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ ในอีกหลายมิติ
จากสถานการณ์ความรุนแรงและความไม่สงบที่เกิดขึ้นนี้ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ ซึ่งหากพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ในพื้นที่ พบว่าผลกระทบจากเหตุการณ์มีทั้งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม อันประกอบด้วย การเสียชีวิตและบาดเจ็บ ความเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย มีความพิการ การตกเป็นผู้ต้องสงสัย ถูกดำเนินคดีและคุมขัง การถูกพลัดพรากจากครอบครัวในกรณีที่คนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเห็นต่างจากรัฐ และเด็กต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากการสูญเสียบุคคลในครอบครัวโดยประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งและความรุนแรง จะมีผลกระทบทางจิตใจ มีปัญหาความโศกเศร้าเสียใจ ที่อาจจะนำไปสู่ภาวะความซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหาอีกด้วย รวมทั้งมีผลกระทบต่อความมั่นคงทั้ง ในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
หลังจากที่ได้ร่วมกันหาทางออกมา หลายวิถีทาง ทั้งการใช้มาตรการความรุนแรง มาตรการทางการทหารและทางการเมือง ในช่วงที่ผ่านมาทุกฝ่าย ก็ได้ให้หันมาให้ความสำคัญต่อการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการและกระบวนการสันติภาพ/สันติสุข ซึ่งทำให้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นวาระนโยบายระดับชาติซึ่งได้รับความสนใจ จากประชาคมทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ
ภายหลังกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ เหตุการณ์ในความขัดแย้งในพื้นที่มีแนวโน้มลดลง แต่อย่างไรความขัดแย้งก็ยังคงดำรงอยู่ ซึ่งหากพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ในพื้นที่ พบว่าผลกระทบจากเหตุการณ์มีทั้งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม อันประกอบด้วย การเสียชีวิตและบาดเจ็บ ความเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย (คนพิการ) การตกเป็นผู้ต้องสงสัย ถูกดำเนินคดีและคุมขัง การถูกพลัดพรากจากครอบครัวในกรณีที่คนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเห็นต่างจากรัฐ และเด็กต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากการสูญเสียบุคคลในครอบครัว โดยประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งและความรุนแรง จะมีผลกระทบทางจิตใจที่อาจจะนำไปสู่ภาวะความซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหาอีกด้วย
สภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความจำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขและจัดการปัญหาและผลกระทบที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดยนักสังคมสงเคราะห์ นับเป็นหนึ่งในเครือข่ายหลักที่สามารถเข้ามาร่วมในการจัดการปัญหาหลังความขัดแย้งในพื้นที่ได้ เนื่องจากหลักในการดำเนินงานอยู่บนพื้นฐานของการช่วยบรรเทาหรือป้องกันการขยายตัวของปัญหาทางสังคมและปัญหาส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นเฉพาะรายบุคคลและรายกลุ่ม ให้คำปรึกษาแนะนำแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้กับผู้ที่ประสบปัญหา ให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง และเป็นงานที่เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และวิถีชีวิตของผู้คนในสังคม ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ บทบาทของงานด้านสังคมสงเคราะห์สามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมได้ เนื่องจากหลังความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาทำให้ความสัมพันธ์ของในพื้นที่ลดลง และอีกบทบาท คือการช่วยหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม ในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข
แต่หากมองเพียงมุมของนักสังคมสงเคราะห์มุมเดียวนั้น การแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาพื้นที่ก็คงทำได้ยาก ดังนั้นการทำความเข้าใจรูปแบบการดำเนินงาน และบทบาทของงานสังคมสงเคราะห์ ว่ามีส่วนเชื่อมโยง และหนุนเสริมงานในพื้นจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร จะเป็นจิ๊กซอร์ส่วนสำคัญที่ช่วยในด้านการจัดการปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้คนในพื้นที่ ทั้งนี้ยังเป็นส่วนหนุนเสริมให้กระบวนการสันติภาพดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนที่เกี่ยวข้องและอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อันเป็นการใช้ข้อมูลความรู้ มิใช่อารมณ์ความรู้สึกเป็นฐานในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
ความรู้ที่หลากหลาย ผ่านการสื่อสารสาธารณะ ที่เน้นการสร้างพื้นที่และช่องทางการสื่อสารอันหลากหลาย ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพด้านการสื่อสารของผู้คนในพื้นที่ ไปพร้อมๆ กับการสร้างเครือข่ายของการสื่อสารที่สะท้อนเสียง ภาพ และมุมมองจากผู้คนอันหลากหลายจึงมีความจำเป็นโดยกระบวนการสร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์ไปพร้อมๆ กับการพยายามแสวงหาทางออกบนพื้นฐานของความรู้จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้เกิดการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
3.วัตถุประสงค์
1. เพื่อเปิดพื้นที่ทางความรู้ทางสังคมศาสตร์ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานสังคมสงเคราะห์ ที่นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
2. เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับนักศึกษาและผู้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
4. กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ ครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 200 คน ประกอบด้วย
1. นักศึกษาสาขสังคมสงเคราะห์ และนักศึกษาสาขาอื่นที่สนใจ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และมหาวิทยาลัยในพื้นที่
2. อาจารย์ และนักวิชาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยในพื้นที่
3. เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์
4. เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาคประชาสังคม และกลุ่มสื่อมวลชน
5. วิธีดำเนินการ/ขั้นตอนการดำเนินงาน :
โครงการ สัมมนาวิชาการ พื้นที่กลางทางความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์ กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายละเอียดของกิจกรรมตามกำหนดการ (เอกสารแนบ 1) โดยกำหนดให้มีการปาฐกถา ในหัวข้อ “พื้นที่กลางทางความรู้ กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”และมีการจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ ในประเด็น “พื้นที่กลางทางความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์ กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีการกำหนดช่วงเวลาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างวิทยากรและผู้เข้าร่วมการประชุม และในช่วงบ่าย ได้มีการแบ่งห้องย่อยเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้นำเสนอการดำเนินโครงการของตนเอง ใน 4 ห้องย่อย 8 ประเด็น ดังนี้ มี
ห้องย่อยที่ 1
- ประเด็นที่ 1 “จากข้อมูลเคสรีวิวสู่เส้นทางการทำงานเชิงนโยบาย (Form Case Review to Policy Advocacy)
- ประเด็นที่ 2 “ไทยแลนด์ 4.0 บริการชุมชนเชิงนวัตกรรมในงานสังคมสงเคราะห์”
ห้องย่อยที่ 2
- ประเด็นที่ 1 “งานสังคมสงเคราะห์ ในมิติความเท่าเทียม ความเป็นธรรม และการสร้างเสริมศักยภาพให้แก่ผู้พิการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้”
- ประเด็นที่ 2 “เสียงภายในที่ต้องรับฟัง : รูปแบบและวิธีการจัดการความรู้สึกของนักสังคมสงเคราะห์”
ห้องย่อยที่ 3
- ประเด็นที่ 1 “บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น”
- ประเด็นที่ 2 “แนวทางการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้”
ห้องย่อยที่ 4
- ประเด็นที่ 1 “รักอย่างไร ให้สุขใจและปลอดภัย”
- ประเด็นที่ 2 “แนวทางการรับมือของนักสังคมสงเคราะห์ต่อพฤติกรรมการใช้ความรุ่นแรงของเด็กและเยาวชน”
6. ระยะเวลาการดำเนินงาน :
วันพุธ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
7. สถานที่ดำเนินการ :
ช่วงเช้า ณ ห้องประชุมอิมาม อัลนาวาวีย์ หอประชุมนานาชาติ วิทยาลัยอิสลามศึกษา และช่วงบ่าย ณ ตึกเรียน 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
8. งบประมาณ
งบประมาณสนับสนุนจาก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
9. ผู้รับผิดชอบโครงการ:
นักศึกษาสาขาสังคมสงเคราะห์ชั้นปีที่ 4 ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และนางสาวสุวรา แก้วนุ้ย อาจารย์นักวิจัย สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาค และอาจารย์ประจำหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ และ อาจารย์วรัญญา เต็มรัตน์ อาจารย์ประจำหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
10. การประเมินผลโครงการ :
แบบประเมินโครงการจากผู้เข้าร่วมประชุม
11. ผลที่คาดว่าจะได้รับได้รับ
1. นักศึกษาและผู้เข้าร่วมประชุม ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ทางความรู้ทางสังคมศาสตร์ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานสังคมสงเคราะห์ ที่นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
2. นักศึกษาสังคมสงเคราะห์ รวมทั้งผู้เข้าร่วมประชุม มีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพทางด้านองค์ความรู้และแนวทางการปฏิบัติงาน ที่สามารถนำไปพัฒนาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้