Skip to main content

 

ดูหนัง “City of Ghosts”

ฟังเสวนาพลังแห่งการสื่อสารของนักข่าวพลเมืองในพื้นที่สงคราม

 

อิมรอน ซาเหาะ

เผยแพร่ครั้งแรกที่ Patani Forum

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

       เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ศูนย์ศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสันติภาพ คณะวิทยาการสื่อสาร ม.อ. ปัตตานี ร่วมกับ สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้, ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้, Documentary Club และ สำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะ ThaiPBS จัดฉายหนังสารคดี เรื่อง "City of Ghosts" ณ คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี)

       หนังสารคดีเรื่อง City of Ghosts เป็นภาพยนตร์สารคดีที่เกาะติดความรุนแรงในเมือง Raqqa ประเทศซีเรีย กำกับโดย แมทธิว ไฮน์แมน โดยรายละเอียดของหนังสารคดีเป็นบันทึกการเดินทางอันยาวนานของกลุ่มนักข่าวพลเมืองที่ต่อสู้กับกลุ่ม ISIS ด้วยการรายงานข่าวสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดผ่านสื่อออนไลน์ภายใต้ชื่อ “Raqqa is Being Slaughtered Silently” หรือ “เมืองรักเกาะฮ์กำลังถูกเข่นฆ่าอย่างเงียบงัน” หนังสารคดีเรื่องนี้ไม่ได้แค่ยืนยันว่าอิสลามไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่อิสลามถูกผู้ก่อการร้ายใช้เป็นเครื่องมือ ทว่าสารคดีของผู้กำกับชิงรางวัลออสการ์คนนี้ยังได้ตั้งคำถามกับ "ความเป็นมนุษย์" ของเราอีกด้วย

       สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของสารคดีชุดนี้ คือ รูปแบบการนำเสนอที่เป็นการถ่ายทอดผ่านกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อสื่อสารผ่านวิดีโอของความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ เพื่อต่อสู้กับภาพที่ ISIS ได้พยายามโน้มน้าวผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มตน ซึ่งแน่นอนว่าผลจากสงครามสื่อที่กลุ่มนักข่าวพลเมืองเหล่านี้ได้ก้าวเท้าเข้าไปสู่สนามของการต่อสู้ทางความคิด ส่งผลทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านของ ISIS บางคนถูกขู่ฆ่าและต้องอพยพลี้ภัย บางคนก็จำใจฝืนทนที่จะต้องได้รับฟังข่าวสารการสูญเสียของคนที่รู้จักและคนในครอบครัว ฉะนั้นการสร้างผลสะเทือนผ่านการสื่อสารเรื่องราวความจริงในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรง ก็อาจส่งผลให้ตนเองต้องเตรียมตัวรับกับผลที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองและคนรอบข้าง

       ภายหลังจากการฉายหนังสารคดีข้างต้นแล้วมีการจัดวงเสวนาเพื่อถกเถียงประเด็นจากหนังสารคดีชุดนี้ต่อ ในหัวข้อ "สันติภาพจากคนเล็ก : พลังสื่อพลเมืองในเมืองผี"  ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย อาจารย์ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการและสื่อมวลชน คุณสมเกียรติ จันทรสีมา ผู้อำนวยการสำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะ ThaiPBS และ คุณซาฮารี เจ๊ะหลง นักจัดรายการวิทยุ Media Selatan ดำเนินรายการ ผศ.ดร.กุสุมา กูใหญ่ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสันติภาพ คณะวิทยาการสื่อสาร ม.อ.ปัตตานี

       อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ กล่าวว่า เมือง Raqqa ก่อนหน้าที่จะถูกยึดครองเป็นเมืองแบบเสรี เป็นเมืองของปัญญาชน ในเรื่องศาสนาก็มีความเคร่งครัดแต่เป็นไปอย่างเปิดกว้าง หลังจากที่โดนยึดครองโดยกลุ่ม ISIS เมืองก็ถูกทำให้เป็นสีดำ หมายถึงไม่มีความสดใสหลงเหลืออยู่เลย มันชี้ให้เห็นว่ากลุ่มคนที่สุดโต่งเป็นสิ่งที่อันตราย และแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นเรื่องที่สำคัญ ทว่าอย่าให้กลุ่มสุดโต่งชี้นำการเปลี่ยนแปลง

       อ.ศิโรตม์ กล่าวต่อว่า หนังสารคดีเรื่อง City of Ghosts ทำให้เราเห็นว่าประชาชนในเมืองดังกล่าวโดนคุกคามจากคน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือจากรัฐบาลเผด็จการ บัชชาร อัลอัสซาด ที่สืบทอดอำนาจจากพ่อสู่ลูก เพราะหากไม่มีการคุกคามประชาชนคงไม่ออกมาต่อต้าน กลุ่มต่อมาคือจากกลุ่มก่อการร้ายสุดโต่งอย่าง ISIS ที่เข้ามายึดครองเมือง และกลุ่มที่สามคือจากการทำสงครามต่อต้านการก่อการ้ายที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาทิ้งระเบิดเพื่อกวาดล้างกลุ่ม ISIS ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก คำถามก็คือ การต่อต้านการก่อร้ายกับการก่อการร้ายต่างกันอย่างไรเมื่อพลเรือนเสียชีวิตเหมือนๆ กัน

       อ.ศิโรตม์ กล่าวอีกว่า หนังสารคดีเรื่องนี้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มสื่อพลเมืองในพื้นที่สงคราม สำหรับสื่อพลเมืองแล้วโอกาสได้ค่าตอบแทนและมีชื่อเสียงมีน้อยแต่โอกาสเสี่ยงสูง ดังนั้น การทำหน้าที่สื่อพลเมืองคือการอุทิศตนเองเพื่อชุมชน บางครั้งผู้คนอาจจะพูดว่า “สื่อพลเมืองเป็นเรื่องอุดมคติ” แต่เอาเข้าจริงแล้ว สังคมขับเคลื่อนไปได้ก็เพราะการขับเคลื่อนของคนที่มีอุดมคตินี่แหละ

       สมเกียรติ จันทรสีมา กล่าวว่า ฉากที่ตนเองรู้สึกสะเทือนในหนังสารคดีเรื่องนี้ก็คือฉากที่เด็กๆ ถือมีดแล้วทำท่าปาดคอตุ๊กตา เพราะมันชี้ให้เห็นถึงการเพาะพันธุ์เมล็ดแห่งความรุนแรงต่อเยาวชนซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก

       สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ในตะวักตกเขาจะแยกพื้นที่การสื่อสารกันอย่างชัดเจนระหว่างสื่อกระแสหลักกับสื่อพลเมือง แต่การที่กลุ่มสื่อพลเมืองในหนังสารคดีเรื่องนี้ได้รับรางวัลซึ่งปกติเป็นรางวัลที่สื่อกระแสหลักมักจะได้รับไปเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่เอาเข้าจริงแล้วในหนังสารคดีก็ชี้ให้เห็นว่าคนที่ติดตามสื่อพลเมืองมีอยู่น้อยนิดแต่ที่เป็นกระแสสังคมได้เพราะสื่อกระแสหลักนำประเด็นไปสื่อสารต่อ

       สมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เคยไปจัดงานในลักษณะดังกล่าวนี้มาแล้วในหลายมหาวิทยาลัย และเมื่อถามไปยังผู้เข้าร่วมว่าระหว่างสื่อกระแสหลักกับสื่อพลเมืองท่านจะเชื่อใครมากกว่ากัน คำตอบที่ได้รับก็คือสื่อพลเมือง ซึ่งขณะนี้เท่าที่สังเกตผู้เข้าร่วมในห้องนี้ก็เหมือนจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือสื่อพลเมืองต่างก็มีจิตวิญญาณของการสื่อสารเหมือนๆ กัน

       ซาฮารี เจ๊ะหลง กล่าวว่า จากการที่ได้รับชมหนังสารคดีเรื่องนี้ทำให้ได้เข้าใจเรื่องราวมากยิ่งขึ้น จากที่ปกติก็มักจะติดตามเรื่องราวข่าวสารเป็นประจำอยู่แล้วบ้าง ซึ่งบางครั้งเองก็มีโอกาสได้ดูคลิปที่กลุ่ม ISIS เผยแพร่แต่ไม่อาจเข้าใจเรื่องราวเหมือนในหนังสารคดีเรื่องนี้ได้

       ซาฮารี กล่าวต่อว่า สื่อพลเมืองในพื้นที่ชายแดนใต้ต่างจากสื่อพลเมืองในสารคดีเรื่องนี้ เพราะพวกเขาถูกคุกคามอย่างหนักจนต้องอพยพไปอยู่ต่างประเทศ และแม้ว่าจะอพยพไปอยู่ต่างประเทศแล้วก็ยังโดนขู่ฆ่าสารพัดแต่พวกก็ยังยืนหยัดที่จะทำหน้าที่สื่อพลเมืองต่อไป ในขณะที่ในพื้นที่ชายแดนใต้บางครั้งแค่โดนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาเยี่ยมเยียนเราก็กลัวแล้ว

       ซาฮารี กล่าวอีกว่า ในหนังสารคดีฉากในช่วงที่ ISIS เข้ามายึดครองเมืองและมีการทำลายรูปปั้นของผู้นำเผด็จการ สีหน้าของประชาชนในขณะนั้นดูเหมือนจะมีความสุข แต่หลังจากที่กลุ่ม ISIS มีการฆ่าคนในพื้นที่สาธารณะ ประชาชนเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดและเกิดการต่อต้านด้วยการสื่อสารแบบสื่อพลเมืองในเวลาต่อมา

       ซาฮารี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่ในพื้นที่ชายแดนใต้เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น ก็มักจะมีข้อมูล 2 ชุดข้อมูลออกมาเสมอ ชุดข้อมูลหนึ่งเข้าข้างฝ่ายรัฐและอีกชุดข้อมูลหนึ่งเข้าข้างฝ่ายขบวนการ ทำให้ประชาชนรู้สึกเบื่อหน่ายกับชุดข้อมูลที่มักจะโฆษณาชวนเชื่อมากกว่าข้อเท็จจริง ประกอบกับช่วงหลังมานี้มีกลุ่มคนรุ่นใหม่หันมาสื่อสารกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่มีสีสันและสนุกสนานจนเป็นที่สนใจของประชาชนเป็นจำนวนมาก

       ถึงที่สุดแล้ว City of Ghost จึงไม่เพียงแต่นำเสนอภาพความโหดร้ายของสงคราม หากแต่ยังถ่ายทอดว่า ท่ามกลางภาวะสงครามที่ไร้ซึ่งอำนาจอย่างสมบูรณ์ของฝ่ายใด และทุกฝ่ายต่างช่วงชิงอำนาจในมิติต่างๆ การสื่อสารก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วงชิงการเล่าเรื่องของพื้นที่เช่นนี้ได้ แน่นอนว่าพลังของการสื่อสารจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มนักข่าวพลเมืองทำหน้าที่นี้อย่างจริงจังและทุ่มเทแม้ว่าจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม ทว่าหากไม่มีกลุ่มคนที่เสียสละที่กล้าจะเสนอความจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ขัดแย้ง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์ความขัดแย้งนั้น และหากไม่ใช่คนในพื้นที่ที่จะลุกขึ้นมาปกป้องบ้านของตนเอง คำถามก็คือ แล้วใครที่จะเป็นคนทำกัน?