Skip to main content

 

"อิสลาม" ในความเชื่อผม สวยงามได้ ด้วย "การสร้างสรรค์" หาใช่ "การทำลายล้าง" ไม่

 

 

 

หลายครั้งที่ "ศาสนทูตมูฮัมหมัด" โดนหญิงนางหนึ่ง โยนอุจจาระใส่ เนื่องด้วยความเกลียดชังต่อท่าน และด้วยการต่อต้านในสัจธรรมที่แหวกจารีตโสมมในเวลานั้น

 

ครั้งหนึ่งท่านศาสนทูตมูฮัมหมัดแปลกใจว่าเหตุใด ไม่ปรากฏแม้เงาของนาง สอบถามจึงได้ทราบสาเหตุว่าความล้มป่วยได้กักขังนางให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ไหวจะแบกสังขารมากล่าวร้ายท่านอย่างที่เป็นทุกวัน

 

ท่านศาสนทูตฯจึงรุดเข้าไปเยี่ยมเยียน พร้อมสอบถามอาการนางด้วยความอ่อนโยน

 

จบท้ายด้วยการรับสัจธรรมในหัวใจของนาง แม้มือของนางนั้นจะเคยเปื้อนคราบอุจจาระ แต่บัดนี้หัวใจของนางบริสุทธิ์แท้ นับเป็นอานิสงค์ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ที่นางล้มป่วย แต่ภาวะแห่งความยากลำบากนี้ ก็ได้นำพา "ชีวิตใหม่" ให้นางด้วยความอ่อนโยนของมหาบุรุษโลก

 

นั้นคือ "ความสร้างสรรค์" ของศาสนทูต ที่อยู่ตรงข้าม "การทำลายล้าง" แม้ใครจะอยู่ตรงข้ามกับสัจธรรมนั้น

 

#นั้นคือประการที่หนึ่ง

 

ในยุคสมัยแห่ง"ความอธรรม"เบ่งบานในคาบสมุทรอาหรับ โดยที่ "กรุงมักกะฮ์" ขยับเป็นศูนย์กลางของบรรดาเหล่าโฉดชั่วขึ้นเป็นระยะเวลาหลายปี

 

โดยมีชนชั้นนำของสังคมอย่าง "อบูซุฟยาน". "คอลิด อิบนุ วะลีด" ฯลฯ คอยมีบทบาทในการต่อต้านจารีตแห่งคุณธรรม

"ศาสนทูตมูฮัมหมัด"ได้ลี้ภัยไปสร้าง "รัฐแห่งสันติ" ขึ้นที่ "นครมะดีนะห์" (ห่างจากกรุงมักกะฮ์ ประมาณ 480 กม.)

 

ศาสนทูตฯ ได้เพียรพยายามเผยแพร่สัจธรรม สร้างรัฐที่มั่นคงด้วยความยุติธรรม แม้ว่าในรัฐนั้นจะประกอบด้วยความเชื่อหลากหลายก็ตาม แต่ด้วยจริยามารยาทและความสัตย์ของมูฮัมหมัด ทำให้ความเข้มแข็งของรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

 

จวบจนกระทั่ง "รัฐมะดีนะห์" สามารถยกพลล้อมกรุงมักกะฮ์และสามารถพิชิตได้ด้วยเสียงประกาศรับประกันดังกังวาลของศาสนทูตฯว่า

 

"ทุกคนในมักกะฮ์จะปลอดภัย ใครที่อยู่ภายใต้บ้านของอะบีซุฟยานจะปลอดภัย ผู้ใดวางอาวุธจะปลอดภัย"

 

นั้นคือคำสัตย์ที่ทุกคนในนั้นเริ่มเปิดหัวใจขึ้นมา

 

แม้ว่าในอดีต ผู้คนเหล่านั้นต่างเคยมีวีรกรรม "ทำร้าย" ต่อต้านศาสนทูตฯ กันทั้งสิ้น

 

แต่วันนี้แม้ว่าท่านศาสนทูตฯจะมีอำนาจ กำลังพล หรือประกาศิตใด แต่ท่านก็ "สร้างสรรค์" สังคมด้วยวิถีแห่งการอภัย ใช้ "ใจ" ถึง "ใจ" ในการสานสัมพันธ์ที่ดี

 

ชนเหล่านี้ต่างก็กลับตัวและใช้ชีวิตภายใต้ร่มเงาของสัจธรรมตลอดมา

 

#นั้นคือประการที่สอง

 

สองประการดังกล่าว ...

น่าจะพอเพียงที่จะชี้ให้เห็นอย่างคร่าวๆว่า เจตนารมย์ของท่าน "ศาสนทูตมูฮัมหมัด" ผู้เป็นที่รักของหลายๆท่าน นั้นมีจุดมุ่งหมายในเชิงสันติวิธีในทุกๆ ช่วงเวลา

 

หาใช่ "การทำลายล้าง" ไม่

 

ดังนั้น ... "การทำลายล้างมนุษย์โดยใช้คำอ้างของแนวทางศาสนทูตมูฮัมหมัด" จึงจำต้องตั้งคำถามและพิจารณาให้ถี่ถ้วน

 

แม้กระทั่งตัวเราๆ ท่านๆ เอง จงอดทนต่อความโกรธ

และหยัดยืนแนวทางอันถูกต้องต่อมารร้ายอย่างทรนง

 

"จงอย่ากระทำการใดๆ(ต่อผู้อื่น) เมื่อท่าน(กำลัง)มีความโกรธ"

น่าจะเป็นคำแนะนำทรงคุณค่า ที่เปลี่ยนจากคนธรรมดา เป็น "ยอดมนุษย์" ได้ไม่ยากนัก

 

แต่ปัจจุบัน ล้วนทำได้ไม่ง่ายเลย ...

#PrinceAlessandro

20-12-2016

ปล.ไว้อาลัย & ประณามกับเหตุการณ์ "ลอบสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศตุรกี"

ปล ๒.เตือนเราๆ ท่านๆ ด้วยตัวอักษรนิดๆ หน่อยๆ.