Skip to main content

 

อะไรคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขยายตัวของศาสนาอิสลาม?

------------------

ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล เกาะเราะฎอวียฺ

อาอิช แปลและเรียบเรียง

 

 

คำถาม คนจำนวนมากยังคงสงสัยว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้มุสลิมเริ่มพิชิตดินแดนต่างๆ (ฟุตุฮาต -การเปิด, การพิชิต) ในยุคที่อิสลามเรืองอำนาจ พวกเขาแปลกใจว่า นั่นไม่ใช่รูปแบบหนึ่ง ของการยึดครองกระนั้นหรือ? มุสลิมไม่ได้แพร่ขยายอิสลาม ด้วยคมดาบ และบีบบังคับผู้คนในดินแดนที่เข้าไป เพื่อให้รับอิสลามเป็นศาสนาของพวกเขา กระนั้นหรือ?

คำตอบ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับผู้ศึกษาวิจัย ซึ่งได้วิเคราะห์เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างยุติธรรม และมีความเห็นว่ามุสลิมได้ ฟุตุหาต (เปิดหรือพิชิต) ดินแดนต่างๆ ด้วยวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ :

1.บรรดาผู้ปกครองที่กดขี่ ซึ่งยึดครองดินแดนต่างๆ ขัดขวางผู้ที่อยู่ภายใต้ปกครองของพวกเขา ไม่ให้รับฟังการเรียกร้องเชิญชวนของอิสลาม มุสลิม (ด้วยพระบัญชาของอัลลอฮฺแล้ว) จะต้องทำให้อิสลาม เป็นที่รู้จักแก่ผู้คนในดินแดนต่างๆ แต่ทว่าผู้ปกครองที่เป็นทรราช ไม่อนุญาตให้ผู้ที่อยู่ภายใต้ปกครองของพวกเขา ฟังเสียงเรียกร้องของอิสลาม และเสียงเชิญชวนของอัลกุรอาน (นี่คือธรรมเนียมของพวกเหล่าทรราช นับจากจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ คือการขัดขวางผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ที่ถูกกดขี่ข่มเหงของพวกเขา จากการรับเอาหลักการ ที่เรียกร้องไปสู่ความเสมอภาค และการรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์)

เรื่องราวของฟิรอาวน์กับบรรดานักมายากล เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเด็นนี้ เมื่อพวกนักมายากลประกาศความศรัทธาในอัลลอฮฺของพวกเขา ดังที่ถูกระบุไว้ในอัล กุรอานว่า “ดังนั้น พวกมายากลได้ก้มลงกราบโดยกล่าวว่า เราขอศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของฮารูนและมูซา, เขา (ฟิรอาวน์) กล่าวว่า พวกเจ้าศรัทธาต่อเขา ก่อนที่ฉันจะอนุญาต แก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? แท้จริงเขา ต้องการเป็นหัวหน้าของพวกเจ้า ซึ่งได้สอนวิชามายากลแก่พวกเจ้า ฉะนั้น ฉันจะตัดมือและเท้าของพวกเจ้า สลับข้างกัน และฉันจะเอาพวกเจ้าไปตรึงไว้ที่ต้นอินทผลัม และพวกเจ้าก็จะรู้อย่างแน่ชัดว่า ผู้ใดในหมู่พวกเราที่จะลงโทษที่รุนแรงกว่า และคงทนยิ่งกว่า” ฏอฮา 70-71

ผู้ปกครองทรราชในเวลานั้นขัดขวางการแพร่ขยายของการเรียกร้องอันเป็นสากลของอิสลาม ดังนั้นเมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ส่งจดหมายแก่บรรดาผู้ปกครองในดินแดนใกล้เคียงเพื่อเชิญชวนพวกเขามาสู่อิสลาม ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)แจ้งแก่พวกเขาว่าถ้าพวกเขาปฏิเสธการเชิญชวนครั้งนี้ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อการนำผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาไปสู่การหลงผิด ตัวอย่างเช่น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวไว้ในจดหมายของท่าน ที่ส่งไปยังจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบเซนด์ไทน์ว่า “ถ้าท่านปฏิเสธการเรียกร้องเชิญชวนครั้งนี้ ท่านจะต้องรับผิดชอบ ต่อการนำผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของท่าน ไปสู่การหลงผิด” ท่านได้เขียนส่งไปจักรพรรดิเปอร์เซียอีกเช่นกัน ว่า “ถ้าท่านปฏิเสธการเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อิสลามครั้งนี้ ท่านจะต้องรับผิดชอบ ต่อการนำผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของท่านไปสู่การหลงผิด” และได้ส่งสาสน์ไปยัง อัลมุเกากิส (ผู้ปกครองอียิปต์ )เช่นเดียวกันว่า “ถ้าท่านปฏิเสธการเรียกร้องเชิญชวนของอิสลาม ท่านจะต้องรับผิดชอบต่อการนำพวกกิบฏียฺ (คนพื้นเมืองของอียิปต์) ไปสู่การหลงผิด”

สภาพการณ์เช่นนี้ ได้ยืนยันถึงถ้อยคำที่แพร่หลายในเวลานั้นว่า “ผู้คนจะนับถือศาสนาตามผู้ปกครองของพวกเขา” ฉะนั้น อิสลามต้องการมอบสิทธิที่แท้จริง และเปิดโอกาสให้ผู้คน ได้ประจักษ์ด้วยตัวของพวกเขาเองว่า จะยึดเอาแนวทางไหน พวกเขามีอิสระที่จะเลือกความศรัทธาของพวกเขา เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของพวกเขา และก่อให้เกิดแรงบังดาลใจตลอดจนเป้าหมายในชีวิต ดังนั้น สงครามที่มุสลิมได้ต่อสู้กับผู้ปกครอง ในดินแดนต่างๆ นั้น นำไปสู่การทลายสิ่งขวางกั้น ระหว่างผู้คนในดินแดนเหล่านี้กับอิสลาม ด้วยเหตุนี้ ทำให้พวกเขาสามารถที่จะเลือกด้วยตัวของพวกเขาเอง ปราศจากการกลัวการลงโทษ ไม่ว่าพวกเขาจะศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา หรือไม่ พวกเขาก็จะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ในสิ่งที่พวกเขาได้เลือกด้วยตัวของพวกเขาเอง

2.การปกป้องรัฐมุสลิม องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้การเรียกร้องเกิดความสมบูรณ์คือการ เกิดขึ้นของรัฐมุสลิมในมะดีนะฮฺ ซึ่งไม่เพียงแต่จะแสดงให้เห็นถึงอำนาจอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยสาส์นแห่งความเมตตาและความยุติธรรมที่มอบให้มนุษย์ทุกคน และทุกอุดมการณ์สู่การปฏิบัติ รัฐใดก็ตามที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ในช่วงเวลานั้นจะต้องเผชิญหน้า กับความเป็นศัตร ูและการโจมตีจากมหาอำนาจ (นั่นคือ จักรวรรดิไบเซนไทน์และจักรวรรดิเปอร์เซีย) มหาอำนาจทั้งสองนี้ เห็นการกำเนิดของรัฐมุสลิม และหลักการพื้นฐานเป็นสิ่งคุก คามผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การเผชิญหน้าที่ไม่อาจหลีกเหลี่ยงได้ระหว่าง ทั้งสองฝ่าย มุสลิม ในช่วงเวลานั้นตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับปัจจุบัน ซึ่งเป็นการต่อสู้ปกป้องตนเอง (ญิฮาด อัด ดิฟาอฺ) เพื่อพวกเขาจะได้ปกป้องดินแดนของพวกเขา จากการคุกคามผลประโยขน์ โดยประเทศรอบ ด้านที่มีอุดมการณ์ และผลประโยชน์แตกต่างจากรัฐมุสลิม

3. การปลดปล่อยดินแดนที่อ่อนแอ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ทราบดีถึงสถานการณ์ของโลก ก่อนการมาของอิสลาม เมื่อหลายส่วนของโลก ตกอยู่ภายใต้การยึดครอง ของไม่อันใดก็อันหนึ่ง จากสองมหาอำนาจ คือจักรวรรดิเปอร์เซียทางฝั่งตะวันออก และจักรวรรดิไบเซนไทน์ทางฝั่งตะวันตก สภาพเช่นนี้ ไม่แตกต่างจากสถานการณ์ของโลก ในช่วงสงครามเย็นในศตวรรษที่ 20 ระหว่างรัซเซียกับสหรัฐอเมริกา บางครั้งจักรวรรดิเปอร์เซีย ก็ได้รับชัยชนะเหนือจักรวรรดิ์ไบเซนไทน์ และบางครั้งอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้รับชัยชนะดังที่กล่าวไว้ในอัล กรุอานว่า “พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว ในดินแดนอันใกล้นี้, แต่หลังจากปราชัยของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะได้รับชัยชนะ”

ในช่วงที่จักรวรรดิเปอร์เซียกำลังยึดครองพื้นที่อารเบียและอีรัก จักรวรรดิไบเซนไทน์ก็กำลังยึดครองดินแดนดินแดนแถบตะวันออกที่ติดกับทะเล เมดิเตอร์เรเนียน อียิปต์รวมทั้งบางส่วนในแอฟริการตอนเหนือ เนื่องจากอิสลามพยายามที่จะปลดปล่อยมนุษย์ออกจากการตกเป็นทาสของมนุษย์ด้วย กัน อิส ลามจึงมีภารกิจที่จะนำคนอ่อนแอออกจากการกดขี่ที่ทุกข์ทรมานจากน้ำมือของผู้ ยึดครองที่ทรงอำนาจ ขอให้พิจารณาดำรัสของอัลลอฮฺที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัมลงท้ายในจดหมายของท่านที่ส่งไปยังจักรพรรดิแห่งไบเซนไทน์และผู้ ปกครองของอียิปต์ว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าโอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกันระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น และเราจะไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์” อาลิ อิมรอน 46

จะเห็นว่าอายะฮฺนี้ ได้นำมาซึ่งคำเรียกร้องเชิญชวนแห่งอิสรภาพ สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด ฉะนั้น ตามบัญชาของอัลลอฮฺ มุสลิมจะต้องนำคำเรียกร้องเชิญชวน ไปสู่ผู้คนที่อ่อนแอให้หลุดพ้นจากปกครองที่กดขี่ (เป้าประสงค์นั้น มีความชัดเจนซึ่งที่ยึดครองเอง ก็รู้ว่าดินแดนต่างๆ ที่มีมุสลิมเข้าไป ย่อมจะตอบรับจดหมาย ในฐานะผู้ปลดปล่อยอิสรภาพ) จึงเป็นเหตุผลที่จักรพรรดิ “เฮอราคลีอุส” กล่าวออกมา ขณะที่เขาเดินออกจากดินแดนแถบตะวันออก ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Levant) เมื่อกองทัพมุสลิมเข้าไปที่นั่นว่า “ด้วยสันติภาพ ฉันได้ทักทายเจ้า ซีเรีย (ก่อนที่ฉันจะจากเจ้าไป) คำทักทายที่ไม่มีวันจะหวนกลับมาอีกแล้ว”

ไบเซนไทน์ ในอียิปต์ใช้ความเจริญรุ่งเรืองของอียิปต์ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและกดขี่ผู้ คนในดินแดนนั้น จนนำไปสู่ขั้นที่ว่าชาวอียิปต์ พร้อมใจกันต้อนรับการเข้ามา พิชิตของมุสลิมในอียิปต์อย่างอบอุ่น ความจริงแล้วมุสลิมประสบความสำเร็จ ในการเข้าไปปลดปล่อยอียิปต์ จากการยึดครอง ของไบเซนไทน์ด้วยกำลังทหารเพียง 8,000 นายเท่านั้น

กล่าวโดยสรุป ข้าพเจ้าต้องการที่จะบอกกับผู้ที่กล่าวหาว่า อิสลามเผยแพร่ด้วยคมดาบว่า ขณะที่ดาบอาจจะพิชิตดินแดนและยึดครองรัฐต่างๆ ได้ แต่ดาบไม่สามารถที่จะพิชิตใจใครได้ และไม่สามารถปลูกฝังศรัทธาไปสู่ผู้คนได้ ผู้ที่จะเปลี่ยนศาสนาต้องการการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป เช่น วิธีการพูดที่ทำให้คนมีความรู้สึกดี ความอ่อนโยนที่ดึงดูดใจคน คุณลักษณะเหล่านี้ สามารถช่วยในการเชิญชวนผู้คนมาสู่ศาสนาใหม่ได้ ตรงกันข้ามการบีบบังคับในศาสนากับผู้คนนั้น จะจบลง ด้วยการพัฒนาไปสู่การเกลียดชัง ที่มีต่ออำนาจและอุดมการณ์ของศาสนานั้น ใครก็ตามที่พิจารณาประวัติศาสตร์ และวิธีการแพร่ขยายของอิสลามในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก อย่างลึกซึ้ง จะตระหนักดีว่าอิสลาม มิได้แพร่กระจายในดินแดนที่มุสลิมพิชิตโดยทันที

การแพร่ขยายของอิสลามเกิดขึ้นหลังจากนี้ หลังจากที่อุปสรรคระหว่างคนในดินแดนต่างๆกับอิสลามถูกขจัดออกไป จากจุดนี้เอง พวกเขาจึงเห็นอิสลามในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสันติภาพ ห่างไกลจากความไม่สงบของสงครามและการสู้รบ ฉะนั้นคนที่ไม่ใช่มุสลิมจึงเห็นถึงศีลธรรมอันดีงามของมุสลิม ด้วยสายตาของพวกเขาเอง และเห็นถึงวิธีการวางตัวของมุสลิมกับพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา เช่นเดียวกับคนที่ไม่ใช่มุสลิมและมุสลิมอื่นๆ

ลองพิจารณาถึงตัวอย่างในอียิปต์ ถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่พวกกิบฏียฺ ได้ต้อนรับการเข้ามาของมุสลิมอย่างปิติยินดี แต่กระนั้นก็ใช่ว่าพวกเขาจะเข้ารับอิสลามโดยทันที การที่ชาวอียิปต์เข้ารับอิสลาม เป็นเพียงเรื่องของปัจเจกชนเท่านั้น แม้แต่ชาวอียิปต์คนหนึ่ง ที่ได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรมอันน่าประทับใจ ในการตัดสินของเคาะลีฟะฮฺ (ตอนที่อุมัรได้ลงโทษลูกชายของผู้ปกครองอียิปต์ เนื่องจากว่าเขานั้น ได้เฆี่ยนตีลูกชายของชาวอียิปต์คนนั้น อย่างไม่เป็นธรรม) แต่เขาก็ไม่ได้เข้ารับอิสลาม (และก็ไม่มีมุสลิมคนใด ที่คิดจะบังคับเขาให้ทำอย่างนั้น)

 

เผยแพร่ครั้งแรกในเพจ Shaykh Yusuf al-Qaradawi