Skip to main content

เรื่องสั้น  ภาพ เรื่อง โดย นวลีย์

            บทสนทนาของผมกับเกม เราต้องอธิบายกันยืดยาวมาก เมื่อเขาคิดถึงเพื่อนที่ตายไปแล้ว แต่เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ เขาคิดค้านในสิ่งที่ผมพยายามอธิบายอย่างประนีประนอมมากที่สุด ระหว่างศรัทธาความเชื่อกับแนวคิดเชิงประจักษ์ของเขา โดยกล่าวว่า “ส่วนใหญ่แล้วคนสนิทกันนั้น หากเขาหนึ่งตายไปได้สักหนึ่งเดือน  อีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่มักพูดถึงเขามากขึ้นในช่วงนั้น  ว่ากันว่า จิตวิญญาณของสิ่งที่เราพูดถึงมักมาอยู่ใกล้ๆเสมอ  ในยามที่เราพูดถึงสิ่งสิ่งนั้น คนเราไม่ค่อยปล่อยว่างอะไรง่ายๆ  สำหรับคนที่ตายไปแล้วนั้นใครจะไปรู้  ที่แน่ๆคนที่เหลืออยู่ต่างหากที่ไม่ย่อมปล่อยวางคนที่ตายไปแล้ว  และเราจะรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ๆด้วยตัวเองเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ”


           

 1.

บ้านตลิ่งสูงเป็นหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนใต้ เป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้านอยู่ร่วมกันทั้งชาวพุทธและมุสลิม หลังหมู่บ้านติดกับภูเขาเล็กๆเทือกหนึ่ง ผมมักชวนน้องๆเด็กๆในหมู่บ้านไปเที่ยวเล่นบนภูเขาอยู่เสมอ ผมทำลานบ้านเป็นค่ายเด็กเล็กมาหลายปีแล้ว ด้วยความที่ชอบบรรยากาศค่ายได้พบปะผู้คนจากที่ต่างๆที่มาร่วมกิจกรรม และได้แก้เหงาเมื่อมีเพื่อนๆน้องๆมาร่วมเดินเล่นตามป่าเขา หากเทียบเป็นช่วงเวลาเวลา น้องๆตั้งแต่เด็กประถมคนหนึ่ง

            วัยรุ่นในหมู่บ้านคนหนึ่งชื่อเกมบอกว่า “สิ่งสุดท้ายที่มานพเห็นในชีวิต คือท้ายของรถสิบล้อ”  ผมบอกว่า “เออจริงสินะ!ถ้าอย่างน้อย  เป็นบั้นท้ายของพยาบาลสักคน  ก็คงดีกว่า”  อดคิดถึงความตายของตัวเองไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจว่า “จะอย่างไร หรือไม่ก็ตาม ถ้าเลือกได้พี่ขอเลือกตายอย่างสงบที่บ้านดีกว่า”ผมบอกเกมไปอย่างนั้น  กับภาพความตายในอุดมคติท่ามกลางลูกหลานห้อมล้อม  แล้วก็สั่งเสียกันก่อนตาย  อาจมีน้ำตาและเสียงหัวเราะของลูกหลานเกเรเกตุงบางคนบอกว่า “ปู่ครับผมรักปู่ ชาตินี่ผมทำความดีไม่ทัน ชาติหน้าจะขอมาเกิดเป็นหลานปู่อีก ” ผมจะยิ้มตอบรับเขาเป็นการร่ำลากันครั้งสุดท้าย

            บทสนทนาระหว่างคนที่เชื่อกับไม่เชื่อในเรื่องผีสางเทวดานั้นมักต้องอธิบายกันยืดยาว ย้อนกลับมาที่เดิมที่ใต้ศาลาลานสวนหลังบ้าน  เรายังคุยกันถึงการจากไปของมานพ  ประมาณหนึ่งว่า เขายังเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น  เพราะเขายังไม่ถึงเวลาที่จะจากไป  มันกะทันหันเกินไป  ควันไฟจากฟืนไม้ทีก่อไว้ต้มกาแฟทำผมแสบตา  น้ำตาของผมเริ่มซึมด้วยควันและความเริ่มคิดถึงมานพ  แล้วก็เริ่มตระหนักว่า เรากำลังทำงานแข่งกับเวลา งานที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร  เพราะมันดูไม่เป็นชิ้นเป็นอัน กับผลลัพธ์อันสะเปะสะปะ กับการเดินเที่ยวตามสวนป่าท้ายหมู่บ้าน ก่อกองไฟต้มน้ำกินกาแฟ แล้วตั้งวงเล่นดนตรี แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป  อย่างไม่ใยดีตัวชี้วัด  

 2.

บทสนทนาที่คาบเกี่ยวระหว่างศรัทธากับสิ่งที่มองไม่เห็นกับความจริงอันประจักษ์ชัด อย่างน้อยผมก็ปลอบใจตัวเองเพื่อได้เบาใจสักกึ่งหนึ่งว่า ทุกอย่างถูกจัดวางไว้แล้ว  โดยพระธรรมชาติเจ้าอันยิ่งใหญ่  เราจึงไม่ควรเร่งรัดจนเกินไปในฐานะมนุษย์น้อย “มนุษย์น้อยธรรมดาๆ”  แต่นั้นล่ะ เด็กวัยรุ่นหนึ่งคนตายไป!เด็กน้อยที่เคยวิ่งเล่นอยู่แถวนี้  มานพเคยมาเล่นที่ที่เรานั่งคุยกัน เขาเคยขึ้นไปนั่งบนห้างส่องนกห้างเล็กๆที่พวกเราช่วยกันทำขึ้นที่สวนหลังบ้าน  พวกเขาเกม มานพและคนอื่นอีกหลายคนมักมาเล่นที่นี่ จนกระทั่งโลกของวัยรุ่นที่สนุกกว่าดึงพวกเขาไป โลกของผู้ใหญ่วงสุราประสาสะ  หากเกมเชื่อเรื่องผีสักนิด ผมคงบอกเขาว่าเราจะลองทำพิธีเชิญดวงวิญญาณของมานพดีไหม  พวกเราโดยส่วนใหญ่มักกล้าหาญกับเรื่องผีเสมอในตอนกลางวัน แต่เกมยืนยันเลิกเชื่อสิ่งเหล่านี้ไปนานแล้ว

            มานพทำบาปหรือบุญมามากน้อยแค่ไหน เกมอาจเป็นพยานในช่วงที่เคยเล่นสนุกด้วยกัน ลมอ่อนๆ กิ่งทางใบละไมไหวเอื้อย ต้นละไมสูงร่มครึ้มมีใบแห้งเต็มลาน ...ทุกอย่างนั้นก็ปกติดีสำหรับเวลาบ่าย  สุนัขไม่ได้หอนด้วย  กลางวันแสกๆ ไม่มีอะไรมาทำให้เราสัมผัสได้ว่า  ผีหรือวิญญาณมานพมาหาเรา  ดังนั้นขนเราจึงไม่ลุกอีกด้วย  เรายังคุยกันถึงเรื่องมานพ  พูดถึงความเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน  กลอนสัปดนที่เขาเคยไปแอบเขียนไว้ที่ห้องน้ำของแม่ชี  คราวที่บวชเณรภาคฤดูร้อน  นั้นคือเป็นผลงานด้านลบของมานพ  ส่วนผลงานด้านบวกในความเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน เขาเคยเขียนคำขวัญของหมู่บ้าน ตั้งแต่อายุน้อยๆ คนเขียนคำขวัญหมู่บ้านได้ตั้งแต่อายุน้อยย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน เขาเคยแสดงบทบาทของมัคคุเทศก์ประจำหมู่บ้าน แม้ครั้งหนึ่งมานพเคยบอกผมว่า “พี่นั้นชอบคิดอะไรเกินจริง” คราวที่ผมเล่าภาพฝันของหมู่บ้านให้มานพว่า  เราสร้างหมู่บ้านของเราให้กลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวแบบในโทรทัศน์  แล้วพวกเรานี่แหละเป็นคนนำเที่ยว ...ผมคุยกับเกมจากบ่ายจนใกล้ค่ำ  และเรามั่นใจว่า มานพอาจอยู่ใกล้ๆ  แม้เกมจะแสดงจุดยืนชัดเจนว่า  เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์  และหากเขาจะเชื่อเรื่องผีก็ควรมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ

3.

มานพไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ หากความตายเป็นเรื่องธรรมดา  พ่อกับแม่ของเขาถูกยิงเสียชีวิตในสวนยาง  เขาตายในช่วงห้าปีให้หลังจากนั้น เหลือน้องหนึ่งคนอยู่กับปู่ย่าและทวดซึ่งอายุมากแล้ว เขาตายในขณะที่เป็นกำลังหลักช่วยงานครอบครัวคือน้องชายปู่ย่าและทวด  การตายด้วยอุบัติเหตุของเขาไม่ธรรมดาแน่ๆ  คงเป็นบทเรียนให้เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ในหมู่บ้านอีกด้วย  เขาไม่ได้ฝากอะไรไว้ให้พวกเรามากมาย  นอกจากสิ่งละอันพันละน้อย  เช่น แผ่นป้ายที่เขาเขียนไว้ตอน ป.6  รอยระบายสี  ภาพวาดแบบเด็กๆ  ต้นไม้ที่เขาปลูก  คลิปวีดีโอ และภาพถ่ายเก่าๆ  ผมกับเกมเราคุยกันว่ารออีกสักหนึ่งปีเราจะจัดงานรำลึกมานพ  ในความเป็นเพื่อนระหว่างเกมกับมานพ ฉันไม่อาจเข้าใจได้ว่า  สิ่งที่พูดกันเหมือนล้อเล่นนั้น  เกมเขาจะรู้สึกหว้าเหว่เพียงไร เพื่อนที่เรามักเห็นภาพเขาเสมอเมื่อเรานึกถึงวัยเด็ก  ภาพของเขาคนนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาแทบทุกสถานการณ์ทั้งสุขทุกข์  เมื่อความเป็นผู้ใหญ่ทำให้ความรู้สึกของผมดิบด้านมากขึ้น และเพื่อนในวัยเยาว์คงไม่มีความหมายอะไรมากมายนัก  จึงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นได้มากนัก

            เราพูดถึงเขามากขึ้นเมื่อเขาตายไปได้สักหนึ่งเดือน  ว่ากันว่า สิ่งที่เราพูดถึงมักมาอยู่ใกล้ๆ  และหลังจากนั้นสองสามปี  ผู้คนคงพูดถึงเขาน้อยลง  เขาค่อยๆกลายเป็นภาพความทรงจำที่เป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดไป  คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงพูดคุยในสิ่งที่เขาพบเจอ  และความจริงก็คือ เมื่อเราตายนั้น  ผู้คนอีกมากมายยังมีชีวิตอยู่  คนที่มีชีวิตอยู่คือคนที่ยังมีเวลาเหลืออยู่  ชีวิตคือเวลา  หากเวลาของเราหมด  ชีวิตของเราก็หมด  มีบางคนบอกว่ามานพเขายังไม่ถึงเวลา  หากใครสักคนถามว่าความตายคืออะไร  ผมยังยืนยันอย่างอหังการว่า  ผมไม่เชื่อในความตาย  แม้ผมรักตัวกลัวตายมากเพียงไร  หรือใครสักคนอาจตอบเรา?  เราจะหาคำตอบได้อย่างไรว่าชีวิตอาจมากกว่าลมหายใจ? นั้นเป็นสิ่งที่ผมถกกับเกมว่า ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด

            เราคุยกันจนค่ำ ยามโพล้เพล้มักมีกลิ่นแปลกๆ เกมเขาไม่เชื่อเรื่องผีแต่เขารีบหายไปก่อนเพราะอะไร ดังนั้นพอตกค่ำตะวันคล้อย ผมจึงตัดสินใจทิ้งลานกาแฟที่ศาลาในสวนหลังบ้านไป แล้วถ้ามานพเขามาจริงๆ เขาก็คงมึนงงในการแยกย้ายไปเสียเฉยๆอย่างนั้น.