Skip to main content

‘อสนียาพร นนทิพากร’

ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันยังไม่ตกผลึกซักทีกับมุมมองของบุคคลหลายฝ่ายรวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่ตั้งป้อมกล่าวหาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนบางแห่งเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ในการผลิตนักรบรุ่นใหม่เพื่อทำการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยฝ่ายที่กล่าวหาได้พยายามหยิบยกเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ปิดล้อมตรวจค้นขึ้นมาเป็นตัวอย่าง  เพื่อสื่อให้สังคมเห็นว่าโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนบางแห่งเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate จริง โดยสมาชิกกลุ่มขบวนการได้ใช้สถาบันการศึกษาด้านศาสนาเหล่านี้เป็นแหล่งพักพิง ซ่องสุมกำลัง ซุกซ่อนอาวุธปืน เป็นแหล่งประกอบวัตถุระเบิด รวมไปถึงฝึกปรือวิทยายุทธ์ก่อนจะออกทำการก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่

ในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาด้านศาสนา ต่างดาหน้าออกมาปกป้องกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ ไม่ให้เกียรติเคารพสถานที่ซึ่งเป็นที่ศึกษาด้านศาสนา และสถานศึกษาไม่ใช่สมรภูมิการสู้รบ

นายขดดะรี บินเซ็น ประธานสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ทีมข่าวอิศรา” จวกรัฐบาลว่ามองโรงเรียนสอนศาสนาในแง่ลบมาตลอด ทำไมเมื่อเกิดเหตุความไม่สงบทีไรมักจะโยนผิดให้กับโรงเรียนเหล่านี้ทุกที แต่เวลามีนักการเมืองคอรัปชั่น ทำไม? ไม่โทษสถาบันที่พวกเขาเคยเรียนบ้าง

เมื่อฟังความทั้งสองฝ่ายในฐานะผู้เขียนไม่ได้เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เมื่อชั่งน้ำหนักต้นสายปลายเหตุ ใคร? คือผู้ที่ทำให้ปอเนาะต้องด่างพร้อย ใครคือผู้ที่กำลังละเลงสีอย่างเมามันทำให้เด็กและเยาวชนต้องเปรอะเปื้อน และใคร? คือผู้อยู่เบื้องหลังการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และเกลียดชังรัฐไทย

คงเป็นความพยายามของกลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ที่ได้ดำเนินการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่อพี่น้องมลายูปาตานีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายคือกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย ผลลัพธ์ต้องการให้กลุ่มคนเหล่านี้ให้การสนับสนุนงานการเมือง หรือเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐไทยมานานนับสิบปี มีการกำหนดแนวความคิดให้มวลสมาชิกใช้ความรุนแรง จนถึงเป้าหมายสูงสุดคือการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปตั้งเป็นรัฐเอกราช

กลุ่มคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังให้มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทย หรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของกลุ่มนักรบคอมมานโด หรือ RKK ของขบวนการ BRN Co – ordinate

ขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชนให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี ในอดีตดินแดนแห่งนี้มีความรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม ทุกคนจะต้องร่วมกันในการปลดปล่อยปาตานีดารุสลามและบังคับใช้ชารีอะห์ซึ่งเป็นกฎหมายที่อัลเลาะฮ์ประทานมาให้มนุษยชาติประกาศใช้บนแผ่นดินเป็น “ฟัรดูอีน” ปาตานี ไม่ใช่ “ดารุลกุฟร์” หรือดินแดนของกาเฟร์ ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ และจงใจทำลายจิตวิญญาณของมลายู และก่อให้ชาวมลายูปาตานีมีความหวาดกลัวในทุกวินาทีที่ต้องเผชิญกับกองกำลังทหารตำรวจที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม

เยาวชนคนหนุ่มสาวปาตานีถูกล้างสมองด้วยระบบการศึกษาที่ถูกแทรกซึมด้วยความเป็นไทย พยายามทำลายศาสนาและวิถีชีวิตของประชาชนปาตานี อีกทั้งประชาชาติปาตานีไม่ได้เป็นผู้ยึดกุมทรัพยากรและเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการชักนำของขบวนการ BRN Co – ordinate คือเด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน มีการใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐให้กับเยาวชนนักเรียนเหล่านี้ด้วยแนวความคิดข้างต้น

รูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่มีความหลากหลาย แต่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะ ฮิญา, แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว ในห้วงการเรียนการสอนวิชาศาสนาหรือห้วงเวลาอื่นที่เหมาะสม โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชปาตานีเป็นประจำทุกวัน แน่นอนเด็กเหล่านี้ย่อมซึมซับรับรู้นำไปสู่พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงในเวลาต่อมา

ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ยังคงเดินหน้าย้อมสีผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เปรอะเปื้อนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยืนยันผลงานของบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดาน ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง

ตัวอย่างที่ผู้เขียนได้รับมาจากผู้หวังดี อย่างเช่นโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนโรงหนึ่งในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี บริเวณฝาผนังห้องน้ำ มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า “นักรบฟาตอนี fathoni Darussalam”

ส่วนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาชื่อดังในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30” (การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK” ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าวจำนวนหลายจุดด้วยกัน

สถาบันปอเนาะในพื้นทีอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส นักเรียนซึ่งเป็นผลผลิตได้มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า “นักรบฟาตอนีดารุสลาม” มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK” และอีกข้อความ “จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนี” ส่วนกระดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า “บาบีอายิง” แปลว่า “หมูหมา”นอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กูรักฟาตอนี” มีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า “ฟาตอนี”

สถาบันศึกษาปอเนาะ ในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส อีกแห่งหนึ่งมีการขีดเขียนข้อความด้วยปากกาที่โต๊ะภายในห้องเรียน, ห้องละหมาด ข้อความว่า “กูเป็นนักรบฟาตอนี, กูฟาตอนี, RKK,  กูรักฟาตอนีไปอยู่ฟาตอนีไลปีๆ”

โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนหลายแห่ง นอกจากครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู เป็นผู้ปลูกฝังแนวความคิดให้กับเด็กนักเรียนแล้วยังมี โต๊ะครู บาบอ เจ้าของโรงเรียน เจ้าของสถาบันเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมให้นักเรียนไม่พอใจ และเกลียดชังเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งจากหลักฐานการเขียนข้อความในที่สาธารณะภายในบริเวณโรงเรียนเป็นสิ่งยืนยัน

ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นว่าขบวนการ BRN Co – ordinate ยังคงมีการใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่เด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงสมาชิกขบวนการ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การยกเอาคำสอนทางศาสนามาเบี่ยงเบนและบิดเบือนให้ดูเสมือนจริง เนื่องจากคำสอนศาสนาล้วนเป็นคำสอนสากล

ปัจจุบันรัฐบาลไทยให้เงินอุดหนุนรายหัวแก่โรงเรียนเอกชนจำนวน 3,858 โรง ทั่วประเทศ ครอบคลุมนักเรียนประมาณ 2.3 ล้านคน อัตราค่าใช้จ่ายรายหัวของโรงเรียนเอกชนคิดเป็นร้อยละ 70 และมีแนวโน้มจะปรับตัวเลขเงินอุดหนุน และเพิ่มการอุดหนุนโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับโรงเรียนรัฐ 100% ภายในปี 2562

ในส่วนของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีโรงเรียนเอกชนหลายพันโรง พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ ได้เปิดเผยว่า ศปบ.จชต. ซึ่งดูแลการจัดการศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้ตรวจสอบพบว่าโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เบิกเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัว ไม่ตรงตามความเป็นจริง โดยมีการเบิกเงินอุดหนุนซ้ำซ้อนกันรวมเป็นเงินหลายสิบล้านบาท

ในเวลาต่อมา นายอดินันท์ ปากบารา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เปิดเผยว่าจากการตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาของโรงเรียนเอกชน มีการเบิกเงินซ้ำซ้อนเฉพาะ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา 4 อำเภอ และ สตูล รวมแล้วเป็นเงินประมาณ 32 ล้านบาท จากทั้งหมดทั่วประเทศ 79 ล้านบาท ซึ่งก็ได้มีการเรียกเงินคืนแล้วบางส่วน แต่ยังมีโรงเรียนเอกชนที่เบิกเงินอุดหนุนเกินไปแล้วมาขอผ่อนผันซึ่งอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ โดยมีทั้งโรงเรียนเอกชนสายสามัญ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน

นั่นคือความเป็นจริงของการจัดการระบบการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รัฐได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลลงมาในพื้นที่แห่งนี้ แต่ยังมีผู้บริหารของโรงเรียนบางแห่งเห็นแก่ได้มีการเบิกเงินอุดหนุนซ้ำซ้อน ทำธุรกิจทางการศึกษาโดยไม่ยอมพัฒนาคุณภาพ หนำซ้ำยังใช้สถาบันการศึกษาเหล่านี้เป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ

พี่น้องประชาชนในพื้นที่ต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตา ช่วยกันตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลไม่ให้กลุ่มขบวนการใช้สถานศึกษาเหล่าที่เป็นแหล่งบ่มเพาะ ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ซ้ำรอยยังคงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในการเข้าทำการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้หวาดระแวงเกินเหตุในการเข้าตรวจค้นแต่ละครั้งมีหลักฐานยืนยันชัดเจน 

พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนแดนสนธยายากต่อการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นถึงเวลาหรือยัง!! ที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการจัดระบบโรงเรียนเหล่านี้ สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสตอบโจทย์ต่อสังคมได้โดยไม่มีข้อกังขา!! ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของขบวนการ BRN Co – ordinate และเป็นแหล่งทำมาหากินของใครบางคน...