Skip to main content

ระแวง

เรื่องสั้นรางวัลชมเชย ในการประกวดเรื่องสั้น ในหัวข้อ “ผู้คน-พลเมือง อารมณ์ความรู้สึก และชีวิตทางวัฒนธรรมในชายแดนใต้” ปี55   ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด ; เขียน

 

          ชายหนุ่มร่างท่วมสูงใหญ่ กำลังนั่งม้วนดูดใบจาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ซึ่งมีความรู้สึกเงียบเหงาและเปลี่ยวใจในยามว่าง ควันที่เพิ่งเข้าปอดได้ถูกพ่นออกมาท่ามกลางความมืด ประหนึ่งเหมือนกับได้ระบายความเครียดออกมาระบายความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในใจเพียงคนเดียว นี่คือชีวิตของชายคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า บังหมาด หรือที่รู้จักกันในสังคมหมู่บ้านก็คือ อุสตาซมะ“นี่หมาด กลับอยู่บ้านแล้ว ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปไหนล่ะ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน แม่เป็นห่วง”เสียงของผู้หญิงอายุอนาม เกือบจะเลยวัยทองไปแล้ว ได้เอ่ยปากพูดกับลูกผู้เป็นสุดที่รัก นี่เป็นครั้งแรกที่บังหมาดจำได้ว่า นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากการศึกษาจากแดนไกล มาได้เกือบหกเดือน ที่ผู้เป็นแม่ได้ปริปากพูดถึงเรื่องอย่างนี้ และในขณะเดียวกัน มันเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างให้กับบังหมาดไว้ให้คอยระวังตัว

          นับตั้งแต่ที่แม่บังหมาดได้รำพึงในวันนั้นเป็นต้นมา บังหมาด หรืออุสตาซมะ จะตื่นนอนก่อนเวลาซุบฮี (เวลาละหมาด ในตอนหัวรุ่งเช้า) ทุกเช้าเป็นประจำ และในขณะที่แม่บังหมาดกำลังหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม อันผืนใหญ่นั้น อย่างไม่รู้สึกตัวเลยว่า ลูกชายได้เดินลงจากบ้านตามเสียงเรียกที่ได้ยิน “หมาด.....หมาด.....หมาด.....” เสียงของ ฮูเซ็น เพื่อนสนิท “มีอะไรหรือฮูเซ็น” คำทักทายคำแรกที่บังหมาดเอ่ยพูดกับเพื่อนที่ชื่อฮูเซ็น ก่อนที่ทั้งสองจะกระซิบสนทนากัน ชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในละแวกใต้ถุนบ้านนั้น            “อัลลอฮ.....ฮูอัคบัร...ๆอัลลอฮ.....ฮูอัคบัร...ๆ” (พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ๆพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ๆ) เสียงอาซาน ละหมาดเวลาซุบฮีดังขึ้นเปรียบเสมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้งสองนั้นยุติการพูดคุยสนทนากันท่ามกลางอากาศที่เย็นฉ่ำ และหยดน้ำค้างที่เปียกชื้นที่ได้หยดลงบนหญ้าหน้าบ้าน อันเวิ้งว้าง และเสียงไก่ขันก็ได้เริ่มขึ้นเป็นระลอกๆ เพื่อปลุกบรรดาศรัทธาชนทั้งหลาย ให้ลุกขึ้นปฎิบัติศาสนกิจ อันเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้ที่เป็นอิสลามิกชนทั้งหลายให้ลุกขึ้นยืนหยัด บนความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น บังหมาด มีภารกิจอะไรบางอย่าง ที่ไม่มีใครทราบนับตั้งแต่เขากลับมาจากการศึกษาจากต่างประเทศแม้กระทั่งแม่ของเขา และเพื่อนสนิทอย่างนายฮูเซ็น

          จากวันนั้นเป็นต้นมาบังหมาด มักจะออกจากบ้านในช่วงดึก ในยามของคนส่วนใหญ่นั้นจะซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่น อะไรที่เป็นเหตุและผล ที่บังหมาดจะต้องเดินออกจากบ้าน เหมือนดังถูกเวทมนต์คาถา สะกดจิตใจของผู้ที่มีหัวใจสุขุมเยือกเย็นอย่างเขา เมื่อถึงวันและเวลาของมัน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือวันและเวลาของเขานั้น จะไม่มีวันและเวลาที่แน่นอน เปรียบเสมือนเป็นความลับอะไรบางอย่าง ที่ไม่มีใครอาจล่วงรู้ได้เลย บางทีบางครั้ง บังหมาดจะสวมกางเกงวอร์ม เสื้อคลุม หรือไม่ก็ใส่เสื้อกันหนาว แต่ในบางครั้งก็ใส่ชุดธรรมดา ผ้าโสร่ง ใส่หมวกกะปิเยาะห์ เดินลงไปออกจากบ้าน แต่ด้วยความบังเอิญบ้านของบังหมาดนั้น จะอยู่ห่างจากบ้านของเพื่อนบ้านอยู่พอสมควรซึ่งมันเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด ที่บังหมาดจะทำอะไรที่ผิดสังเกตในยามวิกาล แม้กระทั่งการเดินลงจากบ้านก็ไม่สมควรแล้ว

          หลังจากที่ฮูเซ็นได้มาหาบังหมาดในวันนั้น เปรียบเสมือนเป็นการจุดประกายของการเปลี่ยนแปลงอีกชีวิตหนึ่งของบังหมาด ผู้ซึ่งมีความสุขุมเยือกเย็น เป็นชีวิตจิตใจ ส่วนฮูเซ็นเพื่อนสุดที่รักของเขานั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เหมือนกัน แบบว่าดูหน้าก็รู้ใจ ชีวิตของฮูเซ็นนั้น นับวันจะมีความชัดเจนขึ้นทุกขณะ ชนิดที่ว่าทุกย่างก้าวของฮูเซ็นนั้นดูแปลกไปหมดไม่ค่อยจะเหมือนเดิม ถึงกระนั้นก็ตามต่างคนก็ต่างแสดงความปกติเพื่อซ้อนเร้นความผิดปกติของกันและกันเอาไว้ เหมือนดังแมลงตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ที่พยายามอำพรางตัวได้อย่างยอดเยี่ยมท่ามกลางการไล่ล่าของศัตรู ฉันใดก็ฉันนั้น                 

          แสงสุรีย์ได้ทอดแสงเจิดจ้าผ่านสายฝนที่โปรยปรายลงมายังพื้นดินในยามเช้า เสียงนกกรงหัวจุกที่แขวนอยู่ใต้ถุนบ้านก็เริ่มออกเสียงทักทายเป็นช่วงๆ อุปมาเหมือนดังได้แสดงความดีใจที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศ อันแสนอบอุ่นที่แสนจะโรแมนติกมากในวันนี้ และแล้วแสงสุรีย์ก็ได้หายจากไป ภายหลังได้ออกแดดได้ไม่นานนัก วันนี้ทั้งวันดูเหมือนบังหมาด อาจได้มองเห็นสายฝนที่ตกลงมายังพื้นเกือบทั้งวันแน่ เพราะเมฆดำทมึนกำลังขยับเข้ามา เสมือนกับว่าจะถล่มหมู่บ้านสลามยังไงยังงั้น ในขณะเดียวกันควันขาวๆก็ได้ส่งกลิ่นฉุนเต็มไปหมด และแล้วหัวมันร้อนๆก็ได้ถูกยกออกมาตั้งไว้บนแคร่ ต่อหน้าผู้ที่กำลังรอคอยอยู่พอดี “นี่หมาดหัวมันร้อนๆ ฝนตกอย่างนี้น่ะ เข้าบรรยากาศมากเลย ” เสียงแม่บังหมาดพูด พร้อมกับหยิบหัวมันจิ้มมะพร้าวขูดเข้าปากไปพลาง “หัวมันอร่อยมากเลย แม่ซื้อมาจากที่ไหนมารึเนี่ย ” คำถามของบังหมาดถึงที่มาของหัวมัน “หัวมันนี้ แม่ไม่ได้ซื้อมาหรอก หัวมันนี่น่ะ เป็นของรอกีเยาะห์ เอามาฝากเมื่อวานไง พอดีวันนี้ทำฝนตกตั้งแต่เช้า ก็เลยเอามาต้มกินอย่างนี้แหละ ” เสียงแม่บังหมาดพูดด้วยความรักความเอ็นดู เนื่องจากต่างคนต่างก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน ไม่มีใครอีกแล้วในบ้านหลังนี้ นอกเสียจากแม่และบังหมาด ส่วนพ่อก็เสียตั้งแต่บังหมาดยังเล็กอยู่ และแม่ก็ไม่ยอมมีใหม่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ“อัสสาลามูอาลัยกุม” เสียงแขกผู้มาเยือนในยามสายของโต๊ะอีหม่าม อาบีดีน หรืออีหม่ามดิง แห่งกัมปงสลาม “วาอาลัยกุมมุสสาลาม” เสียงบังหมาดตอบรับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน “เป็นไงสบายดีรึเปล่า” เสียงของอีหม่ามดิงส่งคำถามตามธรรมเนียมของมุสลิม “ครับสบายดี” เสียงตอบรับของผู้ที่ถูกถามตามธรรมเนียมเช่นกัน จากนั้นคนทั้งสองก็ได้สนทนากัน พร้อมกับดื่มน้ำชาไปพลางๆ ม้วนใบจากไปพลางๆ และแล้วการสนทนาของทั้งสอง ก็ได้ล่วงเลยเวลาเกือบเที่ยงวัน ท่ามกลางของสายฝนที่โปรยปรายลงอย่างไม่หยุด อีหม่ามดิงจึงได้ลาบังหมาดกลับบ้าน พร้อมกับความหวังที่ได้ให้ไว้กับบังหมาดว่า สักวันหนึ่งบังหมาดคือว่าที่ผู้นำศาสนาคนต่อไป      

          เกือบ 4 โมงเย็นฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ฟ้าดูมืดไปทั่วทุกสารทิศ คืนนี้อาจได้นอนอย่างสบายแน่ ในขณะเดียวกันบนท้องถนนหน้าบ้าน ซึ่งเป็นถนนสายชนบทก็จะได้เห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเดินลาดตระเวนผ่านไปมา แทบจะนับไม่ถ้วนว่า กี่คันกี่รอบ ในแต่ละวัน ส่วนเหตุการณ์ของบ้านเมืองก็ไม่น่าที่จะยึดเยื้อมาถึงตอนนี้เลย มันน่าที่จะยุติมาตั้งแต่ตอนที่รัฐบาลได้ส่งกองกำลังมาใหม่ๆมิใช่หรือ เพราะจะได้ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง และอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทำไม มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด ทั้งๆที่จุดสกัดบนท้องถนนนั้นมีมากกว่าเกินความจำเป็นด้วยซ้ำไป บังหมาดนั่งครวญคิดอยู่คนเดียว ท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆที่ชุ่มฉ่ำ ใครหรือที่กล้าท้าทายถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าคุก ความตาย อาจเป็นที่ ที่สำหรับเขา แต่ทำไม ทำไมพวกเขาอยู่เฉยไม่เป็นหรือ บังหมาดคิดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาของคนช่างคิด         

          ในสมัยนี้จะหาคนที่เรียนศาสนาสูงๆ ดูแสนจะอยากเย็นเหลือเกิน เนื่องจากเป็นยุคของเทคโนโลยี ซึ่งมันเป็นยุคของการแข็งขัน ต่างคนต่างพากันเอาวัตถุนิยม มาเป็นตัวตั้งตัวหลักในการดำเนินชีวิต ไม่เคยคิดในเรื่องทางธรรมสักเท่าไหร่ แต่ทำไมในขณะเดียวกันก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่จะไม่เลือกอย่างนั้น เขาพร้อมและยอมที่จะอาสาศึกษาต่อทางด้านศาสนา ทั้งๆที่รู้ว่าถึงจะจบระดับสูงก็ตามแต่ ก็จะไม่ได้รับการรับรองจากรัฐอยู่ดี อันนำไปสู่การไม่รับรองวุฒิการศึกษา และสุดท้ายก็นำไปสู่การไม่มีงานทำ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความคิดที่จะรับผิดชอบต่อสังคม บวกกับเป็นสิ่งที่พระผู้อภิบาลได้ทรงตระหนัก และบังคับในเรื่องของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศาสนาที่เรียกกันว่า ส่วนปัจเจกบุคคลหรือ ฟัรดูอีน (หลักการของศาสนาที่เจาะจงบังคับเป็นรายบุคคล หรือสิ่งที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ) ใครไม่ทำผู้นั้นบาป จนกว่าคนๆนั้น จะศึกษาและเข้าใจความหมายของศาสนาอย่างท่องแท้ เพราะศาสนาอิสลามนั้นไม่ใช่เพียงแค่ริมฝีปาก และก็ไม่ใช่การทำตามผู้คน เหตุนี้เองที่ผู้ที่ไม่มีการศึกษา จะไม่มีความรู้ความเข้าใจถึงแก่นแท้ของศาสนาอิสลาม และจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่มีความรู้ทางด้านศาสนาในการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าในวันนี้เราจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เงินเดือนหลักหมื่นก็ตาม แต่ถึงเวลาหลับตาลงทุกอย่างก็จะไม่มีความหมาย นอกเสียจากคุณงามความดีที่ได้สะสมไว้ นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และอันแท้จริง การมีเงินทองในวันนี้ มิได้หมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่งได้ประสบความสำเร็จไม่ หากแต่เป็นบททดสอบอีกบทหนึ่งของพระผู้อภิบาลอีกต่างหากเช่นเดียวกัน นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ของผู้ที่เลือกศึกษาต่อทางด้านสายศาสนา เหมือนอย่างบังหมาดและอีกหลายๆคนที่มีความรู้สึกว่าไม่เรียนนั้นไม่ได้โดยเฉพาะทางด้านศาสนา

          ความรับผิดชอบต่อสังคมคือ สิ่งที่อิสลามให้ความสำคัญ เพราะหากว่าในสังคมใดปราศจากซึ่งผู้รับผิดชอบต่อสังคม สังคมนั้นจะไร้ซึ่งทิศทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักการและแนวทางของศาสนาอิสลาม เพราะอิสลามนั้นคือ ธรรมนูญ แห่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องส่วนบุคคลและก็ส่วนรวม การนับถือศาสนาอิสลามนั้น คือการเคารพต่อบทบัญญัติของอิสลาม อะไรเป็นสิ่งที่ต้องห้ามและไม่ห้าม หรืออนุมัติไม่อนุมัติ อย่างเช่น อิสลามนั้นสั่งห้ามในการดื่มเหล้า การพนัน การผิดประเวณี เป็นต้น หรือทุกๆสิ่งที่เป็นอบายมุข นี่คือการนับถืออิสลามที่แท้จริง มิใช่การนับถืออิสลามเพียงแค่ริมฝีปาก เพียงแค่เครื่องแต่งกายภายนอก หากแต่จะต้องเคารพต่อกฏกติกาที่มีอยู่ หรือที่อิสลามได้บัญญัติไว้

          ความเคลื่อนไหวของบังหมาดในวันนั้นถึงวันนี้มันยังคงเป็นความลับ และไม่มีใครรู้แม้กระทั่งแม่ของเขา ที่อาศัยอยู่ร่วมหลังคาเดียวกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั่งเติบใหญ่ แต่กลับตรงกันข้ามความลับของเขาได้ถูกเปิดเผย และถูกถ่ายทอดต่อเพื่อนผู้แสนสนิทอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้กระทั่งความคิดอันลักแหลมและแหลมคม และวิสัยทัศน์อันยาวไกล ที่มันบ่งบอกถึงอุดมการณ์อะไรบางอย่าง บางเรื่องบางราวนั้น เรื่องที่เขาคิดแค่คิดก็ผิดไปแล้ว และในบางเรื่องนั้นอาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่อะไรที่เป็นตัวชี้นำ ที่ทำให้บังหมาดต้องคิด ต้องจินตนาการ และต้องพูดอย่างนั้น อย่างที่คนอื่นเขาไม่กล้าที่จะพูดด้วยซ้ำไป

          ภายหลังจากการละหมาด อีชา อุสตาซมะจะรับประทานอาหารค่ำร่วมกับแม่ อยู่เป็นประจำทุกคืน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น จะเป็นเวลาของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่มักจะนิยมรับประทานอาหารมื้อค่ำภายหลังจากการละหมาดอีชา และที่ขาดไม่ได้สำหรับ บังหมาด ก็คือยาชุดแก้เหงาประจำตัวของบังหมาด ที่ประกอบไปด้วยใบจาก,ยาเส้น,และไฟเช็ค ซึ่งเป็นยาประจำตัวของบังหมาด ส่วนในยามค่ำคืนของทุกคืนนั้น บังหมาดมักจะอยู่ใต้ถุนบ้านอยู่เป็นประจำ เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำตัว ของผู้ที่ชอบอยู่อย่างสงบ ของชายคนหนึ่งที่มีอารมณ์สุขุม เยือกเย็น และในคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นคืนที่บังหมาดจะทำตามกิจวัตรของเขา เพราะนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บนแคร่ใต้ถุนบ้านนั้นก็จะเต็มไปด้วย ควันขาวๆที่ส่งกลิ่นฉุน จะถูกพ่นออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับการรินน้ำชาใส่แก้วไปเรื่อยๆ ตามประสาของคนที่ชอบอยู่คนเดียว จนกระทั่งถึงเวลา 21.00 น. ก็ได้มีการรายงานข่าวต้นชั่วโมง จากทางสถานีวิทยุช่องหนึ่งออกมาว่า เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาได้เกิดเหตุคนร้ายสร้างสถานการณ์ โดยการเผายางรถยนต์ และโปรยตะปูเรือใบบนท้องถนน ในพื้นที่ของ อำเภอ เจาะไอร้อง จังหวัด นราธิวาส ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับบ้านบังหมาดมากนัก สิ้นเสียงการรายงานข่าว ควันขาวๆถูกพ่นออกมาจากปากเป็นระยะๆ และถี่ขึ้น เปรียบเสมือนเครื่องจักรกำลังทำงานกำลังร้อน และแรงขึ้นทุกขณะ

          ความรุนแรงได้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน นับตั้งแต่บังหมาดกลับมาจากเมืองนอกมาเกือบปีเศษสถานการณ์การก่อความไม่สงบได้กลายเป็นข่าวพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ และได้กลายเป็นข่าวที่ปกติไปแล้วในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการลอบยิง การลอบเผาโรงเรียนและสถานที่ราชการ ตลอดจนการลอบวางระเบิด ที่ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยไม่สามารถที่จะประเมินเป็นมูลค่าได้ ใครหรือคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของละครเรื่องนี้?มันต้องการอะไร? บังหมาดนั่งครวญคิดตั้งคำถามอยู่ในใจเพียงคนเดียว บังหมาดนั่งครวญคิดไปอย่างเมอลอย ไปตามข่าวที่ได้ยินเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ท่ามกลางความมืด ที่มีเพียงแสงจากหลอดไฟบนบ้านที่ลอดผ่านมาจากข้างบนของบ้าน ซึ่งมันเป็นฉากอีกฉากหนึ่งที่สวยงามมาก ถ้าหากได้ฉายเป็นฉากของละครประเภทที่แสนโรแมนติก ซึ่งควันขาวๆที่ลอยไปกระทบผ่านแสงที่เล็ดลอดมาจากด้านบนของบ้านนั้นดูเหมือนกับแสงเลเซอร์ขาว บนเวทีคอนเสิร์ตไม่ผิดเลย มันมีศักยภาพถึงเพียงนี้เลยหรือ ? มีตัวตายตัวแทน ผลของการปฏิบัติการในแต่ละครั้ง มันบ่งบอกถึงอะไร หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพของผู้ปฏิบัติการ สถานะของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง ที่สามารถดึงกองทัพ อันมหึมา มาลงในพื้นที่ปลายสุดด้ามขวานทองนี้ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีอัตลักษ์เฉพาะตัว และสามารถที่จะทำการล่อให้เจ้าหน้าที่ออกมาจากที่ตั้ง และทำการซุ่มโจมตีได้โดยอย่างมีระบบ และมีการวางแผนที่รัดกุมและแนบเนียน ยิ่งสถานการณ์เลวร้ายขึ้นทุกวัน ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการก่อเหตุของกลุ่มพวกนี้ได้ มิหน่ำซ้ำเจ้าหน้าที่ก็ยังคงตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มพวกนี้ได้อยู่ดีไม่เว้นแต่ละวัน    

          ท่ามกลางความร้อนระอุของสถานการณ์ ที่ยังคงคุกรุ่นมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนานนับปีนั้น มันมีบทบาทอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำมาหากินของชาวบ้านในแต่ละวัน โดยเฉพาะชาวสวนเกษตรกรที่ทำอาชีพสวนยางพารา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนทางภาคใต้ จากเดิมที่เคยกรีดยาง เวลาตี 1 ต้องเปลี่ยนมาเป็นตี 5 และ 6 ด้วยซ้ำไป ยิ่งสถานการณ์เลวร้ายขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ก็ยิ่งเพิ่มกองกำลังมากขึ้นเป็นทวีคูณตามลำดับ เหตุผลก็คือ เพื่อต้องการที่จะรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่กลับตรงกันข้าม ประชาชนตาดำๆ กลับมีความหวาดกลัว และหวาดระแวงต่อหน่วยพิทักษ์สันติราษฏร์ หรือจะหน่วยอะไรก็แล้วแต่ ที่ไปประจำการอยู่แถวหมู่บ้านต่างๆ และในสวนยางของชาวบ้าน นี่คือความจริงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้พื้นที่ที่เต็มไปด้วย กองกำลังลายพราง ชุดเขียวดำ เต็มพื้นที่ไปหมด นับตั้งแต่ที่ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่แห่งนี้ อาจเป็นเพราะว่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้น อาจมองได้สองแง่สองมุมในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือ ในมุมแรก ประชาชนอาจเป็นแนวร่วมในสายตาของทางการ และในอีกมุมหนึ่ง ประชาชนอาจเป็นสายข่าวในสายตาของใครบางคนบางกลุ่ม นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุและผล ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ รู้สึกหวาดกลัวต่อสถานการณ์ที่ใครๆก็สามารถทำได้ทุกเมื่อและทุกขณะเมื่อมีโอกาส            

          บังหมาดนั่งครวญคิดอย่างเมอลอยอยู่พักใหญ่ เหมือนดังควันใบจากที่ถูกพ่นออกมาเป็นระยะๆ แล้วก็ลอยหายไปในอากาศ และแล้วเสียงข้างบนก็ได้ดังขึ้น “หมาด.....ทำอะไรอยู่ล่ะ ดึกแล้วน่ะ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขากล้าออกมานอกบ้านกันแล้ว สถานการณ์มันไม่ดี ” เสียงแม่บังหมาดพูดขึ้นมา ในขณะที่ดวงตานั้นกำลังจ้องมองดูดวงดาวผ่านทางหน้าต่าง ที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรี “ครับแม่” เสียงขานรับของลูกผู้กตัญญู ที่มีความสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับได้ลุกขึ้นเก็บข้าวเก็บของ ที่เป็นแก้วน้ำชากับยาชุดแก้เหงา เดินขึ้นบันไดที่อยู่ไม่สูงมากนักจากพื้นบ้าน และที่ลืมไม่ได้เลยสำหรับ บังหมาด ก่อนนอนก็คือ การตรวจตราประตูหน้าต่างทุกบานว่าเรียบร้อยแล้วหรือไม่ จากนั้นเพียงไม่นานแสงไฟภายในห้องนอนของบังหมาดก็ได้ดับลง และเพียงไม่นานนักเสียงของนาฬิกาเรือนเก่าภายในบ้านก็ได้ดังขึ้น เสียงกริ๊งของนาฬิกาได้บ่งบอกถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี แต่สำหรับในบางคืนของบังหมาด เวลาเที่ยงคืนนั้น คือเวลาแห่งการเริ่มต้นของภารกิจอะไรบางอย่าง ซึ่งภารกิจนั้นยังคงเป็นความลับ จนกว่าจะถูกเปิดเผยในสักวัน ไม่วันนี้ก็วันหนึ่ง ดังคำที่ว่าความลับไม่มีในโลกนี้

          ยิ่งเวลาผ่านไป ตามวันเวลาของธรรมชาติ บังหมาด หารู้ไม่ว่า ความสุขุมและเยือกเย็นของเขานั้น ได้ถูกเฝ้ามองและติดตามจากใครบางคนอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญไปกว่านั้น ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในยามวิกาลของเขานั้น ได้ถูกจัดเก็บไว้ในสมุดปกดำอย่างมิดชิดในบ้านของเพื่อนสุดสนิทอย่างนายฮูเซ็น จนกระทั่งนายฮูเซ็นได้รับรู้อะไรบางอย่างในมันสมองของบังหมาด และนี่ก็คือ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของฮูเซ็นนั้นก็ใกล้ที่จะบรรลุความสำเร็จแล้ว แต่ถึงแม้ว่านายฮูเซ็นจะรับรู้อะไรบางอย่าง จากคำพูดและความคิดของบังหมาด ผู้ซึ่งมีการศึกษามาจากต่างประเทศมากพอสมควร แต่ก็ไม่อาจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะนั่นก็คือ มันเป็นแค่คำพูด มันเป็นแค่ความคิด ที่ใครๆก็มีสิทธ์ที่จะพูด มีสิทธ์ที่จะคิด แต่เนื่องด้วยภารกิจที่สำคัญประกอบกับการทำงานเพื่อนายคนหนึ่ง เพื่อค่าตอบแทนที่ไม่กี่ตั้งค์ ฮูเซ็นพร้อมที่จะทำตามหน้าที่ของเขา ตามที่เขาได้รับมอบหมาย และฮูเซ็นเองก็พร้อมที่จะทำตามที่เขาได้รับรู้จากเพื่อนของเขาที่เป็นเพียงแค่คำพูด เพียงแค่ความคิด บวกกับความเคลื่อนไหวของบังหมาดในยามวิกาล เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเพื่อนสนิทอย่างนายฮูเซ็น ที่จะเอามาเป็นเหตุและผล ในการดำเนินการอะไรบางอย่าง

          สมุดปกดำ หรือบัญชีดำ คือหนึ่งในสารบบของผู้ที่ทำงานทางราชการ ของหน่วยงานด้านความมั่นคงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหลายหน่วยงาน ที่ได้ชื่อว่าหน่วยสันติบาล หรือหน่วยข่าวกรอง ที่จะคอยเช็คคอยเฝ้ามอง ถึงบุคคลที่เข้าข่ายอันต้องสงสัย หรือแบล็คลิส รายชื่อบุคคลอันตราย ที่จะต้องคอยระวัง ที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ที่จะต้องขจัดและปราบปรามให้หมดไปจากแผ่นดิน ไม่ให้มีแผ่นดินที่จะอยู่ที่จะอาศัย ไม่ให้มีแม้กระทั่งสุสานหลุมฝังศพ ดังที่รู้ๆกันอยู่อย่างทั่วกันในทุกวันนี้ ที่บุคคลเหล่านี้โดนขจัดโดยวิธีอันป่าเถื่อนที่ไม่มีมนุษยชน และไร้ซึ่งมนุษยธรรม แม้กระทั่งหลุมฝังศพก็ไม่มีให้ลูกเมียได้ดูได้เห็น ตราบนานเท่านาน บังหมาดเองไม่เคยคิดเลยว่า เพียงแค่ความคิด เพียงแค่คำพูดของเขา ที่ต้องการเพียงให้ความ อยุติธรรมหมดไปจากสังคม อิสลามมลายู แต่ชื่อของเขากลับถูกบันทึกลงในโน้ตบุ๊คแบล็คลิสว่า เป็นหนึ่งในบุคคลอันตราย ที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงและประเทศชาติ เป็นบุคคลที่ต้องสงสัย และเป็นบุคคลที่จะต้องระวังและติดตามเป็นพิเศษ    

          ในช่วงระยะหลังนี้ ฮูเซ็นดูเหมือนออกจะเหินห่างไปจากบังหมาด เป็นอย่างมาก และบังหมาดเองก็จะเก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะออกไปไหน นอกเสียจากการออกไปกรีดยางข้างหลังบ้านเท่านั้น นี่คือ ความเปลี่ยนแปลงของคนสองคน อันเนื่องมาจากความคิด และความเห็นที่แตกต่างต่างคนต่างก็มีอุดมการณ์ของกันและกัน ดังของคนสองคนที่ไม่อาจเข้าหากันได้ บังหมาดและฮูเซ็นนั้น นับวันก็จะเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการหวาดระแวงต่อกัน ซึ่งความหวาดระแวงนี้รอเพียงเวลาที่จะถึงจุดๆหนึ่งเท่านั้น ไม่เร็วก็ช้าไม่ช้าก็เร็ว           

          ในยามดึกของคืนหนึ่ง ขณะที่ผู้หญิงวัยทองที่ย่างจะเข้าสู่วัยชรา กำลังหลับตาอย่างสุขสบายในมุ้งตัวเก่า นางกำลังหารู้ไม่ว่า ลูกชายร่างใหญ่สุดที่รักของเขา ได้ก้าวเท้าเดินลงจากบ้าน และได้เดินหายไปกับความมืด ที่ติดอยู่กับเชิงเขาทางด้านหลังของบ้าน ซึ่งในคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่บังหมาด จะออกจากบ้าน เหมือนกับที่เขาเคยทำอย่างที่ที่ผ่านมา ที่มันยังคงเป็นความลับสำหรับภารกิจในยามวิกาลของบังหมาดบังหมาดไปทำอะไรกับใคร ไม่มีใครรู้เห็น รู้แต่ว่านี่คือ อีกหนึ่งภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเขา ที่จะละเว้นและขาดเสียมิได้เลย เปรียบเสมือน ชีวิตทั้งชีวิตของเขาได้ทุ่มเทให้กับภารกิจอันสำคัญนี้ไปแล้วเหมือนดังที่ ฮูเซ็นได้อุทิศชีวิตและใจของเขาไว้ให้กับภารกิจของเขาด้วยเช่นกัน อาจเพื่อนาย หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ และแล้วเมื่อความคิดปะทะกับความคิด เมื่ออุดมการณ์ปะทะกับอุดมการณ์ อะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าระหว่างความผูกพันกับความเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เล็กแต่เด็ก หรือว่า ความมีอุดมการณ์อยู่เหนือความเป็นเพื่อน ไม่มีใครสามารถทำนาย หรือเดาได้นอกเหนือจาก พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกเท่านั้น และก็เช่นเดียวกัน อะไรคือความจริง และอะไรคือความเท็จ เพราะเหตุและผลของคนสองคนต่างก็อ้างถึงเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองในวันข้างหน้า เหมีอนๆกัน

          นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของบทละครที่กำลังเกิดขึ้นและที่กำลังฮิตอยู่ในพื้นที่ของด้ามขวานทองในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่กำลังจะถึงทางตันและถึงจุดจบของคนสองคนในเรื่องของความคิด และอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน โดยการหาวิธีการต่างๆ เหมือนดังที่บรรพบุรุษในอดีตได้สร้างวีรกรรมและแบบอย่างไว้ให้ชนรุ่นหลังเอาอย่าง นั่นก็คือ ฝ่ายหนึ่งต้องขจัดอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อความอยู่รอดของอีกฝ่ายหนึ่ง ความสุขุมและเยือกเย็นของบังหมาด กับความเหินห่างของฮูเซ็นนั้น ดูเหมือนไม่มีอะไรที่ผิดสังเกต เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แต่หารู้ไม่ว่าความไม่มีอะไรนั้นมันบ่งบอกถึงนัยยะอะไรบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ ดังคำที่ว่าความสงบสยบความเคลื่อนไหว แต่สำหรับความเคลื่อนไหวของบังหมาดและฮูเซ็นนั้น ต่างคนต่างก็รักษาความผิดปกติของกันและกันเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน เหมือนดังท้องทะเลในยามค่ำคืน ฉันใดก็ฉันนั้น

          ค่ำคืนนี้บนท้องฟ้าดูเต็มไปด้วยดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มไปหมด แต่ก็ไม่อาจเทียบแสงของดวงจันท์เพียงดวงเดียวได้ เหมือนดังความจริงกับความเท็จ ดังคำที่ว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย และความเท็จเป็นสิ่งที่ตาย และอาจสลายไปในที่สุด

          แต่ถึงแม้ว่าความเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ของบังหมาด จะระมัดระวังสักเพียงใดก็ตามแต่ ก็ไม่อาจพ้นสายตาของผู้ที่คอยจ้องจะทำอะไรบางอย่างและเพื่อใครบางคน แต่สำหรับนายฮูเซ็นแล้ว เขากำลังทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของภารกิจอันมีเกียติสำหรับคนอย่างนายฮูเซ็น และที่สำคัญไปกว่านั้น เพื่อความสงบสุขและความร่มเย็นของประเทศชาติในวันข้างหน้า ตามที่เขาได้อ้างไว้ถึงความจำเป็นในภารกิจของเขา

          เสียงอาวุธสงครามได้ดังขึ้นมาจากท้ายหมู่บ้านในยามช่วงดึกสงัด ที่ไม่มีใครรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น พอสิ้นเสียงแห่งปริศนานั้นแล้ว ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนดังทะเลอันกว้างใหญ่ในยามราตรี เพราะต่างคนต่างก็รักษาความปลอดภัย และชีวิตของตนเองไว้เป็นหลัก และไม่มีใครรู้เลยว่าเสียงที่ได้ยินนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับใครอย่างไร          

          หญิงในวัยทองยังคงหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอันผืนใหญ่ตัวเดิม ที่ไม่อาจได้ยินเสียงแห่งปริศนาที่ได้ดังขึ้นมาจากท้ายหมู่บ้านเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และไม่มีใครที่จะคาดเดาได้ว่า เสียงปริศนาในยามวิกาลนั้นได้ปลิดชีพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในช่วงดึกสงัดอย่างนี้ ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังหวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่ได้ยินเมื่อครู่ที่ผ่านมานั้น ในขณะเดียวกันหยดเลือดก็ได้ไหลรินออกมาจากร่างของบังหมาดในสภาพที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทรมานที่มิอาจบรรยายได้ ร่างที่ไร้วิญญาณนั้นได้นอนแน่นิ่งเหมือนดังคนที่กำลังนอนหลับพักผ่อนอย่างสุขสบายหลังจากที่ได้ทำงานมานักต่อนักแล้ว แต่สำหรับบังหมาด เขาได้นอนและพักผ่อนไปตลอดกาล โดยไม่มีวันที่จะลืมตาและหวนกลับคืนมาอีกเลย

          บังหมาดจากไปโดยทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่สุดที่รัก แม้กระทั่งต้นยางข้างหลังบ้านของเขา รวมไปถึง ใบจาก ยาเส้นและไฟเช็ค ที่ได้กลายเป็นมรดกตกทอดไปในทันที บทชีวิตของบังหมาดได้ถูกลิขิตไว้เพียงเท่านี้ จะให้สั้นหรือยาวไปกว่านี้คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะในอิสลามนั้นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ลิขิตไว้อย่างแน่นอนแล้วมีทั้งหมด 3 อย่างด้วยกันคือ 1.ความตาย(วันเวลาและสาเหตุของการเสียชีวิตของแต่ละคน)            2.คู่หมั้นหรือคู่สมรส(คู่ชีวิตของแต่ละคนนั้นได้ถูกลิขิตไว้เรียบร้อยแล้ว บางคนนั้นมีและบางคนก็ไม่มี) 3. ริสกี(ปัจจัยยังชีพต่างๆที่ได้กินได้ใช้ได้อาศัย ล้วนแต่ได้ถูกลิขิตไว้มาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่แล้วนับตั้งแต่เริ่มออกจากท้องแม่จนถึงบั้นปลายของชีวิต)             

           “อัสสาลามูอาลัยกุม ” เสียงเรียกดังมาจากใต้ถุนบ้านของบังหมาด เป็นเสียงของรอชีดในฐานะผู้มาเยือนในยามเช้าตรู่ของวันใหม่ ก่อนที่แสงสุรีย์จะโผล่ขึ้นมาเพียงไม่นานนัก “วาอาลัยกุมมุสสาลาม”เสียงตอบรับมาจากห้องครัวบนบ้านของหญิงคนหนึ่ง “มีอะไรหรือรอชีด มาหาตั้งแต่เช้าเชียว ” รอชีดอึ้งอยู่ชั่วขณะ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี “มีอะไรหรือรอชีด ใครเป็นอะไรไปรึเปล่า บอกมาซิ” เสียงเรียกร้องคำตอบของหญิงผู้อ่อนแอ ต่อการมาเยือนของรอชีดผู้ใหญ่บ้านแห่งกัมปงสลาม “เอ่อคือว่า บังหมาดได้กลับไปหา สู่พระผู้อภิบาลแล้ว” เสียงของรอชีด กล่าวด้วยความหดหู่ใจ “หมายความว่า.....” ไม่ทันสิ้นเสียงพูด นางได้ร่ำไห้ระหมเหมือนดังไม่ได้สติ นางถึงกับครวญคราญแทบจะขาดใจต่อหน้าของรอชีด ส่วนรอชีดก็ได้แต่คอยพูดปลอบใจ ถึงชะตาชีวิตของคนเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น สักวันหนึ่งก็ต้องตายอยู่ดี อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ขึ้นอยู่กับบทละคร ที่อัลลอฮฺ ได้ลิขิตเอาไว้มาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว         

          การตายของบังหมาดได้แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ต่างคนต่างก็มาเยือน ที่ในตอนนี้หน้าบ้านของบังหมาด ดูหนาแน่นด้วยผู้คนไปถนัดตา ต่างคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ ดังประสาชาวบ้าน ส่วนอาบีดีน หรืออีหม่ามดิงนั้น ในตอนแรกแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่าบังหมาด ว่าที่ผู้นำศาสนาคนต่อไปนั้น จะถูกลิขิตไว้เพียงเท่านี้ และในอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้ไป ยีนาซะห์ หรือร่างที่ไร้วิญญาณ ก็จะถูกประกอบศาสนกิจตามหลักการของศาสนาต่อไป ซึ่งโดยปกติแล้วมุสลิมจะต้องจัดการศพให้เสร็จภายในเวลา 24 ชั่วโมง บางคนก็แค่ 5 ชั่วโมง ตามหลักที่ว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี เวลา 10 โมงเช้า     ยีนาซะห์ ก็ได้ถูกลงหลุมที่กูโบร์ หรือ สุสานตะเยาะห์ หรือที่เรียกกันว่า กูโบร์ตะเยาะห์ แห่งกัมปงสลาม ท่ามกลางญาติสนิทมิตรสหาย ของมัรฮูม บังหมาด (มัรฮูม คือ คำที่ใช้สำหรับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว) ที่กำลังยืนมองดูไปที่ที่เดียวกัน นับจากนี้ไปไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะแทนที่ไปมากกว่าความรู้สึกอันเวิ้งว้างเศร้าใจของคนบ้านสลาม เมื่อไม่มีบังหมาด ก็เหมือนดังแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้มืดลง ท่ามกลางความมืดของผู้คนอีกจำนวนมาก “จากนี้ไปเราจะไม่มีอีกแล้วความหวังของสังคมที่จะมีผู้นำที่มีคุณธรรมที่มีความสุขุมและเยือกเย็นไว้คอยเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้อีกต่อไป ที่เต็มไปด้วย เด็กๆที่ไม่รู้หนังสือ เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก ไม่มีการศึกษาและคุณธรรม อันเนื่องมาจากการขาดความรู้ทางด้านศาสนา ” เสียงของผู้สูงอายุแห่งกัมปงสลามคนหนึ่งอุทานขึ้น ใครทำร้ายบังหมาด อะไรคือสาเหตุของเขาไม่มีใครรู้ ไม่มีแม้กระทั่งหลักฐานในที่เกิดเหตุ นอกจากปลอกกระสุน 3-4 นัดเท่านั้น ส่วนในเรื่องของการชันสูตรพลิกศพนั้น ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อการทำคดีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ สภ.เจาะไอร้องเท่าใดมากนัก นอกจากการสรุปสำนวนคดีการตายของผู้ตาย คือเสียเลือดมากเท่านั้นเอง

          หลังจากนั้นเป็นต้นมา หมู่บ้านสลามเปรียบเสมือน มีเมฆดำอันมหึมากำลังปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านสลามอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวได้เข้ามาแทนที่ ความหวาดระแวงได้ขยายอิทธิผลไปทุกตารางนิ้วของหมู่บ้านสลาม ระหว่างชาวบ้านด้วยกันเอง และระหว่างชาวบ้านกับเจ้าที่บ้านเมืองฝ่ายความมั่นคง ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่การจากไปของมัรฮูมบังหมาด ในวันนั้นเป็นต้นมา เกือบ 2 ปี ที่ปมปริศนาการตายของ บังหมาด ที่คนในหมู่บ้านยังคงรอคำตอบอยู่ ถึงการตายของบังหมาด ที่ยังคงหาคำตอบไม่พบ เนื่องจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ มิใช่อยู่ที่ปลอกกระสุนมรณะ 3-4 นัดเท่านั้น หากแต่จะต้องอาศัยพยานแวดล้อม และพยานวัตถุที่มีอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พยานข้างต้นก็สามารถทำลายหลักฐานของมันอยู่ดี ในขณะที่ผู้คนยังคงรอคำตอบที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพบเจอ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีใครบางคนที่ไม่อยากให้มันพบไม่อยากให้มันเจอคำตอบที่ทุกคนกำลังรอคอยกันทั้งหมู่บ้าน   

          ภายหลังจากการจากไปของบังหมาด ทำให้ผู้คนหลายคนภายในหมู่บ้านสลามเกิดคำถามและข้อสงสัยขึ้นต่อการเสียชีวิตของบังหมาดเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้บังหมาดนั้น ถูกทำร้ายถึงชีวิต โดยเฉพาะโต๊ะอีหม่ามดิง ด้วยความสงสัยและรู้สึกไม่สบายใจต่อการจากไปของบังหมาด อีหม่ามดิงจึงได้ระบายและถ่ายทอดด้วยความคิดและแสดงออกด้วยการเขียน และเรียบเรียงถ้อยคำเพื่อให้ได้ใจความมากที่สุดเท่าที่จะเขียนได้ ซึ่งมีใจความว่า “สงครามความคิดต้องสู้ด้วยความคิด สงครามความคิดย่อมจบลงด้วยความคิด ไม่มีอะไรที่จะสามารถเอาชนะความคิดได้ แม้กระทั่งรถถัง รถฮัมวี่ หรือ รถหุ้มเกราะ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะอยู่เหนือความพยายามจากใจจริงของคนเรา” นี่คือ ถ้อยคำที่ อีหม่ามดิง ได้เรียบเรียงระบายออกมาผ่านทางปลายปากกา เพื่อเป็นการระบายออกมา ถึงสิ่งที่อยู่ข้างในของอีหม่ามดิง เพื่อต้องการให้ผู้คนนั้นได้อ่านและคิด ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และรวมถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับคนของหมู่บ้านสลามอีกด้วย อันหมายถึง หมู่บ้านแห่งสันติ