Skip to main content

ปอเนาะสีเทา

เรื่องสั้นรางวัลชมเชยในโครงการ "เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา ประจำปี 2557" โดยกระทรวงวัฒนธรรม

อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด; เขียน

          เสียงเฮลีคอปเตอร์แบล็กฮอว์กวนเวียนเหนือท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักเรียนปอเนาะหลายร้อยชีวิต ที่ยังกุลีกุจอกับการร่ำเรียนศาสนาหลังละหมาดในช่วงเช้าอย่างปกติทุกวัน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในชุดอาวุธครบมือต่างกรูล้อมรอบๆ สถานศึกษาปอเนาะอัดดีนุลอิสลาม ที่ตกเป็นเป้าหมายในการตรวจค้นตามการแจ้งเบาะแสของสายข่าว

          ทหารทุกนายต่างเข้าหาที่กำบังพร้อมเล็งปลายกระบอกปืนไปยังกระท่อมเล็กๆ ที่ปลูกกันเป็นแถวดูเป็นระเบียบ พร้อมกับเสียงประกาศจากโทรโข่งขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ เพื่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างปกติ

          ในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกกลุ่มได้มุ่งไปยังบ้านโต๊ะครู เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับการมาเยือนอย่างสายฟ้าแลบในวันนี้

“ท่านโต๊ะครู ก่อนอื่นเราต้องขอโทษด้วยอย่างยิ่งที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า” ผู้บังคับการยศพันเอกท่านหนึ่งกล่าวพร้อมกับยื่นกระดาษขาวอันเป็นคำสั่งประทับตราสีแดงที่เขียนไว้บนมุมกระดาษว่า “ด่วนที่สุด”

“มีอะไรเหรอ ถึงได้มาแต่เช้าเชียว” โต๊ะครูอับดุลการีมถามเจ้าหน้าที่พลันมองไปยังรอบๆ บ้าน ที่เต็มไปด้วยกองกำลังติดอาวุธครบมือ

“คือพวกเราจะขออนุญาตตรวจค้นปอเนาะสักพัก ตามที่เราได้รับมอบหมายครับ” ผู้บังคับการอธิบายเหตุผล

“เรื่องอะไรเหรอ ทำไมต้องมากันมากมายขนาดนี้?” โต๊ะครูต้องการเหตุผล

          ไม่ทันที่ท่านหัวหน้าชุดตรวจค้นจะให้คำตอบ เสียงโหวกเหวกของลูกน้องคนหนึ่งที่คุมเชิงอยู่ในบริเวณปอเนาะส่งเสียงดังขึ้น ทำให้วงสนทนาระหว่างโต๊ะครูกับหัวหน้าชุดตรวจค้นเป็นอันต้องยุติลงกลางคัน

          จากนั้นนักเรียนในชุดโสร่งเสื้อโต๊บสีขาวถูกต้อนให้ไปอยู่ในสนามหญ้าอันโล่งเตียน ใบหน้าของแต่ละคนได้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ดวงตาซ่อนนัยยะแห่งคำถามนับพันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวินาทีที่ผ่าน

          เด็กนักเรียนที่มีอายุสิบสองปีไปจนถึงสามสิบปี ถูกบังคับให้หมอบลงกับพื้นบนสนามหญ้า บางคนมีน้ำตาเล็ดลอดออกมาจากเบ้า ฝีปากสั่นระริกบวกกับบรรยากาศในช่วงเช้ายิ่งทำให้อาการสั่นผวายิ่งสั่นเข้าไปใหญ่

“อุ๊บ” อามีนอุทานออกมาโดยมิได้ตั้งใจ หลังจากปลายเท้าคอมแบทของเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง ไปเตะที่กลางหลังเข้าอย่างจัง ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในอาการที่ไม่แตกต่างกัน

          ทุกคนถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าออก พร้อมกับก้มหน้าลงบนพื้นหญ้าที่ยังเปียกแฉะ

“พวกแกนี่ มันโคตรเลวชัดๆ อยู่บนแผ่นดินไทย ยังไม่รู้จักบุญคุณ แทนที่จะกระทำความดีเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน กลับสร้างปัญหาบ่อนทำลายชาติ พวกมึงเสียชาติเกิดจริงๆ ” พลทหารท่านหนึ่งปล่อยประโยคอันเจ็บแสบออกมาพร้อมกับถ่มน้ำลายใส่อามีน

          ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาโต๊ะครูที่ยังคงมองดูปฏิบัติการณ์ของเจ้าหน้าอย่างไม่กะพริบ

          อามีนกลั้นความเจ็บแค้นที่ตัวเองมิได้ก่อขึ้นมา แต่ถูกปฏิบัติเยี่ยงสัตว์ตัวหนึ่ง

“พวกแกนึกว่าพวกกูไม่รู้หรือ ที่พวกแกแกล้งทำดีช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นครูตาดีกาบ้าง เป็นนักอาสาบ้าง ทั้งหมดที่พวกแกทำไปเพื่อหวังผล เพื่อให้สังคมยอมรับ พวกแกนี่แหละตัวดี ที่คอยปลุกปั่นพวกเด็กๆ และชาวบ้านให้เกลียดเจ้าหน้าที่ พวกแกน่าจะตายซะดีกว่าอยู่” เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคนหนึ่งกล่าว พร้อมเตะขานักเรียนคนหนึ่งที่กำลังหมอบลงกับพื้น

          หยาดน้ำค้างที่ยังคงเคลือบต้นหญ้าในยามเช้า ค่อยๆ ระเหยแห้งสู่ห้วงอากาศที่ถูกแสงแดดส่องกระทบ กองหญ้าที่ชูยอดอ่อนถูกเหยียบย่ำโดยเท้าของผู้มาเยือนตามคำสั่งเฉพาะกิจ เพื่อไล่ล่าตัวคนร้ายที่แหล่งข่าวได้ชี้เป้า ตามหลังเหตุการณ์การลอบวางระเบิดและยิงปะทะที่บ้านฮูแตบองอเมื่อสองวันก่อน เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ปลิดชีพนายทหารระดับพันเอกพร้อมลูกน้องรวมห้านาย

          ผ่านไปสองชั่วโมง ลูกน้องในชุดสีดำได้กลับมารายงานต่อหัวหน้าชุดที่กำลังจ้องมองการปฏิบัติการณ์ของลูกน้อง พร้อมกับการปลอบใจโต๊ะครูเป็นระยะๆ

“จากการเข้าไปตรวจค้น ไม่พบบุคคลตามเป้าหมายครับนาย” ลูกน้องคนสนิทกล่าวรายงาน ในขณะที่มือทั้งสองหยิบเอาตำราเรียนกระดาษเหลืองแดงพร้อมลูกประคำสี่ห้าเส้นติดมือมาด้วย ก่อนจะเอามาวางบนโต๊ะหินอ่อนหน้าสุเหร่า ตามด้วยการบันทึกภาพของสื่อมวลชนที่ติดตามข่าวอยู่ตลอดเวลา

“งั้น เรียกกำลังออกมาข้างนอกได้ เดี๋ยวรอกำลังสมทบจากสถาบันนิติเวชเข้ามาซักประวัตินักเรียนทั้งหมด คงต้องใช้เวลาสักสองสามชั่วโมงเป็นอย่างน้อย” หัวหน้าชุดตรวจค้นกล่าว

“ครับนาย”

         เกือบห้าชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ได้ระดมหน่วยกำลังจากที่ต่างๆ เพื่อมาช่วยตรวจสอบประวัติของนักเรียนแต่ละคนอย่างละเอียดเพื่อเก็บลายนิ้วมือแฝงและดีเอ็นเอ และในจำนวนนี้มีเด็กที่มาจากกัมพูชารวมอยู่ด้วยห้าคน ซึ่งกลายเป็นประเด็นพอสมควร ที่โต๊ะครูผู้เป็นเจ้าของปอเนาะต้องคอยตอบคำถามเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดถี่ยิบถึงที่มาของเด็กนักเรียนดังกล่าว เสมือนต้องการจับข้อพิรุธมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง

“ทำไมเด็กพวกนี้ถึงได้มาเรียนที่นี่” เจ้าหน้าที่ผู้หญิงจากสถาบันนิติเวชถามโต๊ะครู ในขณะที่มือกำลังเปิดปากเอาสำลีแตะไปที่น้ำลายของนักเรียนชาวกัมพูชาคนหนึ่ง ก่อนที่จะใส่ลงไปถุงพลาสติกใส และทำการบันทึกลงในคอมพิวเตอร์

“ก็พวกเค้ามาเรียนที่นี่ตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เยอะ อย่างมากก็เจ็ดแปดคน” โต๊ะครูอธิบายด้วยความสุขุม

“แต่เรากลัวว่า เด็กกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะไปก่อเหตุ หรือเข้าขบวนการได้ง่าย เพื่อรับค่าจ้างในการก่อเหตุในพื้นที่” เจ้าหน้าที่ระดับสัญญาบัตรท่านหนึ่งเสริม

“เหรอ” โต๊ะครูอุทานอย่างแรง พลันสีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง

“ก็ใช่ซิ โต๊ะครูเคยฟังข่าวบ้างไหม เกี่ยวกับสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่ออกมาให้ข่าวเมื่อสองสามเดือนที่แล้วว่า เด็กที่มาจากกัมพูชาอาจมีส่วนในการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่อาศัยสถาบันปอเนาะเป็นแหล่งกบดาน ถึงเวลาพวกนี้จะออกไปรับจ้าง พอเสร็จงานก็จะวกกลับมายังปอเนาะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” หัวหน้าชุดตรวจค้นพูดสนับสนุนความเห็นลูกน้องอย่างมั่นอกมั่นใจ

“แต่ถ้าเป็นจริงดั่งว่า ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรล่ะ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายบ้านเมือง ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิดเราพร้อมให้ความร่วมมือจ่า...” โต๊ะครูกล่าวพร้อมกับก้มหน้า ด้วยสีหน้าที่มีความกังวลต่อลูกศิษย์ที่อาจเข้าไปมีส่วนร่วมจริง

“ไหนๆ ก็ไหนๆ ในเมื่อมาแล้วก็ขอตรวจสอบประวัตินักเรียนทุกคน เพื่อเป็นฐานข้อมูลในอนาคต” เจ้าหน้าที่สถาบันนิติเวชตัดจังหวะ

“ท่านหัวหน้า ขอถามอะไรหน่อย” โต๊ะครูกล่าวพร้อมหันไปยังหัวหน้าชุดจับกุม

“ได้ๆ โต๊ะครูมีอะไรหรอ? ว่ามา” หัวหน้าชุดตรวจค้นพยักหน้า

“ตามที่เขาบอกว่า เด็กกัมพูชาอาจมีส่วนในการก่อเหตุในพื้นที่บ้านเรา มันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติกันแน่จ่า...?” โต๊ะครูถามด้วยความสงสัย

“ก็จริงซิครับ มันเป็นข้อมูลของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ คงจะไม่จริงได้อย่างไรครับโต๊ะครู” หัวหน้าชุดตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอีกครั้ง

“จ่า...งั้นขอถามอีกข้อหนึ่ง” โต๊ะครูขึ้นเสียงด้วยความสงสัย

“ได้ครับ”หัวหน้าชุดตรวจค้นตอบรับ

“นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คนบาดเจ็บล้มตายก็มากแล้ว แต่ไม่ทราบว่าในจำนวนนี้มีคนกัมพูชาตกเป็นผู้ต้องหาหรือบาดเจ็บกี่คนแล้วครับท่าน?” เป็นคำถามที่ค่อนข้างสะกิดใจเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นมิน้อย

        เมื่อสิ้นคำถามของโต๊ะครู หัวหน้าชุดตรวจค้นถึงกับนิ่งงันพูดไม่ออก วงสนทนาตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ในขณะที่แววตาของหัวหน้าชุดกลับเมินหนีไม่กล้าสบตาโต๊ะครู ประจวบเหมาะได้เวลาถอนกำลังกลับ ท่านหัวหน้าได้กล่าวอำลาโต๊ะครูอีกครั้งพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดี และส่งสัญญาณไปยังลูกน้องให้ถอนกำลังกลับโดยที่ซักประวัติเก็บดีเอ็นเอได้เพียงครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมด

          เหตุการณ์การเข้าไปปิดล้อมตรวจค้นเพื่อหาตัวคนร้ายในสถาบันปอเนาะ ตามที่แหล่งข่าวได้แจ้งพิกัดถึงการเข้ามากบดานของผู้ต้องหาที่มีคดีติดตัวไม่น้อยกว่าห้าคดี ที่ในที่สุดจนแล้วจนรอดก็ไม่พบบุคคลตามที่สายข่าวได้แจ้งเบาะแสแต่อย่างใด

          ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ถอนกำลังออกไป ผู้สื่อข่าวจากสำนักต่างๆ ได้รายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กับการนำเสนอข่าวพิธีรดน้ำศพของนายทหารยศพันเอกพร้อมลูกน้องรวมห้านาย ที่มีกำหนดในการเคลื่อนย้ายศพกลับสู่ภูมิลำเนาในวันรุ่งขึ้น

         ผู้สื่อข่าวจากส่วนกลางและท้องถิ่น ได้เกาะติดคดีการเสียชีวิตของนายทหารยศพันเอกพร้อมกับความคืบหน้าของการสืบสวนสอบสวนตัวคนร้าย ซึ่งการสูญเสียในครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของกองทัพไทยเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ทำให้คดีมีความคืบหน้าเร็วมาก เมื่อเทียบกับการเสียชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยที่มักจะหายไปจากการเกาะติดของสังคม

          บนหน้าจอโทรทัศน์ฟรีทีวี ทุกฝ่ายต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปิดล้อมตรวจค้นดังกล่าว ที่ใช้ทั้งเฮลีคอปเตอร์ เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเกือบครึ่งพันและสุนัขดมกลิ่นนับสิบตัว บทสัมภาษณ์ที่ออกมาส่วนใหญ่จะเป็นการป้ายสีสถาบันปอเนาะในทางอ้อม ที่อาจมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในฐานะให้ที่พักพิง ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ก่อความไม่สงบ ถึงแม้ว่าในการตรวจค้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะไม่พบพยานหลักฐานแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่เชื่อมั่นตามข้อมูลที่สายได้รายงานมา

          ตามมาด้วยการแถลงข่าวจากเจ้าหน้าที่ทหารถึงผลของการปฏิบัติการณ์ปิดล้อมปอเนาะอัดดีนุลอิสลามที่ผ่านมา พร้อมกับการเผยภาพสิ่งของที่สามารถยึดได้ไม่ว่าจะเป็น คำภีร์อัลกุรอาน แม้กระทั่งลูกประคำ ที่เจ้าหน้าที่พยายามปะติดปะต่อสร้างข่าวว่าเป็นเครื่องมือของขลังของผู้ก่อเหตุรุนแรง

“จากการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายตามที่สายได้รายงานมา เราสามารถยึดตำราที่อาจเป็นคาถาปลุกเร้าเพื่อสร้างความหึกเหิมก่อนลงมือปฏิบัติการณ์ ซึ่งพวกนี้ส่วนใหญ่มักจะพกลูกประคำติดตัวอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะช่วงที่จะลงมือก่อเหตุในแต่ละครั้ง” โฆษกทหารได้กล่าวต่อสื่อมวลชนทุกแขนง อันเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจอย่างสมบูรณ์

         รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์กระแสหลักต่างพาดหัวข่าวใหญ่ไปในทำนองเดียวกันว่า ปอเนาะคือแหล่งซ่องสุ่มกำลัง ให้การสนับสนุนแก่กลุ่มขบวนการ เพื่อสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ ที่มีเป้าหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดน และถือเป็นอีกวันที่ยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ทุกหัว จำหน่ายหมดเกลี้ยงภายในพริบตา

          ข่าวต้นชั่วโมงต่างโหมโรงประเด็นการเข้าไปปิดล้อมโรงเรียนศาสนาในจังหวัดปัตตานี เพื่อควานหาคนร้ายที่มีหมายจับติดตัว บวกกับการออกมาแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับบน ที่ประกาศเพิ่มค่าหัวรางวัลนำจับให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสได้ถึงเจ็ดหลักด้วยกัน

          ซึ่งทุกครั้งที่มีบุคคลตามหมายจับถูกซัดทอดจากชั้นสืบสวนสอบสวนว่าเป็นผู้กระทำผิดในคดีอาญา ใบหน้าของผู้ต้องหาจะปรากฏบนกระดาษโพสเตอร์และจะถูกติดประกาศตามจุดตรวจต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงแม้ในความเป็นจริงจะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่สามารถเอาผิดได้ แต่ด้วยกระบวนการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ จะต้องเจาะจงล่วงหน้าไปก่อน จะจริงเท็จประการใดก็ค่อยว่ากันในชั้นศาล แล้วแต่พยานหลักฐานและดุลพินิจของศาลในการตัดสิน

          ภายหลังจากเหตุการณ์การปิดล้อมตรวจค้นสถาบันปอเนาะอยู่บ่อยครั้ง ทำให้สถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนตกอยู่ในอาการต้องระมัดระวังท่าทีอยู่ตลอดเวลา ทั้งสถาบันที่ได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิไม่ว่าจะวงเล็บหนึ่งหรือวงเล็บสอง บางโรงถึงขั้นต้องสั่งปิดการเรียนการสอนโดยปริยาย ถูกอายัดทรัพย์สิน ห้ามกระทำการดำเนินกิจกรรมใดๆ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการ หลังจากที่มีอุสตาสของโรงเรียนท่านหนึ่งถูกแจ้งข้อหากบฏ เป็นอั้งยี่ซ่องโจร จนส่งผลกระทบต่อสถาบันโดยรวม ถึงขั้นถูกสั่งอายัดใบอนุญาตการจัดตั้งโรงเรียนไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะตัดสินคดีจนถึงที่สุด

          ส่วนอามีนนับจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ได้กลับมาเรียนที่ปอเนาะอีกเลย ซึ่งก่อนที่เขาจะอำลาเป็นครั้งสุดท้าย เขาได้ไปพบโต๊ะครูในช่วงค่ำของวันหนึ่ง พร้อมกับตำราอิสลามที่เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากศัตรู ที่ว่าด้วยศาสนา ศักดิ์ศรี และมาตุภูมิ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปโดยที่ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้อีกเลย

          หลายเดือนต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาหาอามีนที่สถาบันปอเนาะอัดดีนุลอิสลามอีกครั้ง หลังจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อความรุนแรง ปลุกปั่นยุยง สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม อันเป็นการทำลายความมั่นคงของประเทศ

          โต๊ะครูเมื่อได้รู้ว่า ลูกศิษย์ที่รักของท่านถูกป้ายสีเป็นผู้ก่อความรุนแรง และเป็นที่ต้องการตัวของราชการ โดยที่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่สามารถเอาผิดตามกฎหมาย แต่ในเมื่อศาลได้ออกหมายจับตามสำนวนคดีของพนักงานสืบสวนแล้ว มิอาจโต้เถียงใดๆ ได้ นอกจากการยอมรับและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น

          เมื่อสอบถามเพื่อนพ้องของอามีน ต่างให้คำตอบในทำนองเดียวกันว่า อามีนมิได้มาเรียนมานานสองนานแล้ว หลังจากเหตุการณ์การปิดล้อมปอเนาะในวันนั้น แต่เพื่อนสนิทของอามีนที่ชื่อฮูเซ็น ได้ปริออกมากลางวงสนทนาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ถึงสาเหตุที่อามีนไม่มาเรียน คงจะเป็นเพราะความแค้นที่เขารู้สึกตอนที่ถูกปฏิบัติในวันนั้น แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา เขามีความเก็บกดเคียดแค้นต่อเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาเป็นเด็กเรียนอยู่ในโอวาทของโต๊ะครู มิเคยเกเรออกนอกลู่นอกทางเหมือนคนอื่น

          โต๊ะครูได้เก็บเรื่องราวที่ได้ยินมาจากปากฮูเซ็น แล้วครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่อามีนอาจคิดอะไรไปไกลมากกว่านั้น

เมื่อส่งข่าวไปยังบ้านอามีน ก็ได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันก็คือ เขาไม่กลับบ้านมานานสองนานแล้วเช่นกัน ถึงจะกลับบ้านเขาก็อยู่ไม่นาน แต่เหมือนว่าช่วงหลังมานี้ เขาเริ่มมีอากัปกิริยาที่ไม่เหมือนแต่ก่อน

          กว่าสามปีที่อามีนมิได้โผล่หน้ากลับบ้าน หลังจากที่ชื่อของเขาถูกขึ้นบัญชีอยู่ในข่ายผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง เขาใช้ชีวิตเร่ร่อนตามวิถีคนจรที่ไร้บ้านเป็นหลักแหล่ง อย่างน้อยในคืนเทศกาลวันตรุษอิดิลฟิตรีย์เท่านั้น ที่เขาจะดอดกลับบ้านเพื่อมิให้ผู้คนได้พบเห็น

          ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาถูกเพิ่มรางวัลนำจับเป็นเท่าตัวจากเดิม ตามข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด เมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร ในพื้นที่ใกล้เคียง เขาจะตกเป็นจำเลยคนแรกโดยอัตโนมัติ  

          บรรยากาศในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตกอยู่ในสภาวะกึ่งสงครามกึ่งความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา ในเมื่อเหยื่อที่ถูกสังหารบนท้องถนนมีทั้ง พุทธ มุสลิม เจ้าหน้าที่รัฐ มิเว้นแต่ละวัน แต่ผู้ที่ตกเป็นผู้กระทำผิดกลับเป็นคนมลายูเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

          บางหมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านที่อ้างว้างขาดคนที่จะเป็นผู้นำ ครูตาดีกาล้วนถูกจับตาจากหน่วยงานทหารที่เข้ามาตั้งฐานในพื้นที่ บางคนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีข่าวคราวอีกเลย

          บางคนต้องผันตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหนโดยปริยาย หลังจากถูกจับตามองจากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพราะไม่อยากเป็นผู้ต้องหาจำเป็น เพื่อสำเร็จความใคร่ของเจ้าหน้าที่บางคน อย่างที่ได้ประสบกับคนมลายูบางคนที่กลายเป็นนักโทษประหารและถูกจำคุกตลอดชีวิตทั้งๆ ที่ตัวเองมิได้ก่อ

          หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รัฐจะพุ่งเป้าไปยังหนุ่มสาวที่มีจิตสาธารณกุศล เช่น คนที่มีหน้าที่สอนเด็กในโรงเรียนตาดีกาทุกๆ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ที่รัฐมักจะมองคนกลุ่มนี้ เป็นลิ่วล้อของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นแนวร่วมคอยบ่มเพาะความเกลียดชังให้กับเด็กๆ ที่มีต่อรัฐ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากความอคติ ความหวาดระแวงที่มีต่อกัน โดยที่ปราศจากความเป็นจริง

          เหตุผลหนึ่งที่ฝ่ายความมั่นคงมีความหวาดระแวงต่อกลุ่มบุคคลที่ทำงานเกี่ยวกับสาธารณ ก็คือการที่ปัญญาชนหรือกลุ่มคนดังกล่าวสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองในการดำเนินการเรียนการสอน โดยที่ไม่มีค่าตอบแทนจากรัฐอย่างที่ควรจะเป็น อย่างมากก็ได้ค่าตอบแทนเพียงไม่กี่ตังค์ ถือเป็นเรื่องแปลก และเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากพวกเขามิได้ทำด้วยอุดมการณ์

          เมื่อความคาดการณ์เป็นเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากที่จะเหมารวมบุคคลเหล่านี้เป็นลิ่วล้อของขบวนการ ในการปลุกฝังแนวคิดชาตินิยมมลายู ประวัติศาสตร์ ที่อาจสร้างความเกลียดชังในความรู้สึก

          แต่ในความเป็นจริง บุคคลเหล่านั้นกลับต้องดิ้นรนอย่างสาหัสสากัณฑ์ เพื่อค้ำจุนสถาบันเล็กๆ ในชุมชน เพื่อให้สามารถยืนหยัดและผลิตอนาคตของสังคมได้อย่างราบรื่นมิมีติดขัด ถึงแม้ปราศจากงบประมาณอุดหนุนจากรัฐก็ตาม

          ครั้งหนึ่งตอนที่ได้เกิดเหตุการณ์การลอบยิงครูตาดีกาในพื้นที่บ้านบาโงยซิแน อำเภอยะหา จังหวัดยะลา หลังกลับจากละหมาดอีชาที่มัสยิด เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ในช่วงเช้าของอีกวัน และได้สรุปสำนวนคดีว่าเป็นเรื่องส่วนตัว มิได้ข้องเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่แต่อย่างใด

          แต่ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะออกมาให้ข่าวอย่างไร แต่ชาวบ้านมิได้ปักใจเชื่อตามเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ในเมื่อผู้ตายเคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงและถูกศาลยกฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานและมีอาวุธปืนอยู่ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต

          นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่บรรดาหนุ่มมลายูที่หมั่นเพียรในครรลองแห่งศีลธรรม ที่มีจิตอาสาจะระมัดระวังตัวเองจากการถูกตามล่าโดยกลุ่มอำนาจมืด ที่อาจมีส่วนในการสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ ตามที่มีการวิเคราะห์จากบางฝ่ายว่าเป็นการเลี้ยงไข้โดยเจ้าหน้าที่รัฐเอง

          ร้านรวงในหมู่บ้านยามเช้าจะชุลมุนไปด้วยผู้คนที่เข้ามาต่อคิวยืนซื้ออาหารเช้าเช่นวันวาน เสมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงแม้บนท้องถนนภายในหมู่บ้านจะถูกแต่งแต้มด้วยเจ้าหน้าที่ทหารที่เดินลาดตระเวนไปมาวันแล้ววันเล่า ผู้คนก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ ในร้านน้ำชากลายเป็นสภากาแฟยามเช้า ทุกความเคลื่อนไหวจะถูกแผ่ขยายออกไปจากที่นี่ ไม่มีอะไรที่คอกาแฟจะไม่รู้ แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เล่นชู้กับลูกสาวชาวบ้านจนตั้งท้องก็รู้หมด ไม่เว้นแม้แต่ข่าวลือ

          ถึงแม้อุปสรรคและความหวาดกลัว จะคอยหลอกหลอนผู้เรียนศาสนา แต่ผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะนิยมส่งลูกหลานไปเรียนต่อด้านศาสนายังต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบตะวันออกกลาง เพื่อกลับมารับใช้สังคมในภายหน้า อย่างน้อยกลับมาได้เป็นผู้นำคน เป็นครูสอนศาสนา แล้วแต่วาระและโอกาส ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านี้ล้วนจะถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายความมันคงก็ตามเมื่อจบการศึกษา

          ก่อนปี 2545 บรรดาครูสอนศาสนาหรืออุสตาส ล้วนตกอยู่ในอันตรายของฝ่ายความมั่นคง ถูกจับตามองจากหน่วยงานรัฐ และในห้วงเวลาดังกล่าวถือเป็นห้วงของความรุนแรงแบบเงียบๆ เมื่อครูสอนศาสนาถูกอุ้มตัวรายแล้วรายเล่า จนสังคม ณ ขณะนั้น ล้วนเกิดคำถามมากมาย เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นอย่างมากก็ถูกพูดถึงในวงน้ำชาในพื้นที่เท่านั้น

          ปรากฏการณ์นี้ อาจเป็นการกระทำของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในพื้นที่ ที่ต้องการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” หรือ “เชือดไก่ให้ลิงดู”  เพราะมีฐานอคติต่อกลุ่มครูศาสนาที่อาจเกี่ยวโยงกับกลุ่มขบวนการปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี ซึ่งเป็นการตัดยอดกิ่งก้านสาขาของขบวนการที่อยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมในการจุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติตาม”แผนบันไดเจ็ดขั้น” ตามที่ได้ตรวจพบเอกสารในบ้านของครูสอนศาสนาท่านหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งถือเป็นการค้นพบข้อมูลลับสำหรับฝ่ายความมั่นคง ที่อาจเป็นกุญแจชิ้นสำคัญ ในการระงับ ยับยั้ง ความเคลื่อนไหวของขบวนการได้บ้างไม่มากก็น้อย

          บรรยากาศในห้วงที่อุสตาสถูกอุ้มหายตัวไป จนไม่มีข่าวคราวให้คนในครอบครัวสามารถรับรู้ถึงชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ถือเป็นช่วงที่สังคมมลายูตกอยู่ในความไร้หลักประกัน ไม่มีองค์กรเข้ามาตรวจสอบ ไม่มีหน่วยงานภายนอกสามารถรับรู้ นอกจากการเสนอข่าวคราวของสื่อมวลชนที่อาจเสนอข่าวตามข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐบางหน่วยป้อนให้

          เรื่องราวของอามีนค่อยๆ หายไปจากวงสนทนาในร้านน้ำชา นานๆ ครั้งหลังเกิดเหตุการณ์ในพื้นที่ใกล้เคียง จะมีเจ้าหน้าที่มาหาที่บ้านอามีนตามคำสั่ง จนพ่อแม่ของอามีนรู้สึกระอ่าใจต่อเจ้าหน้าที่ที่มาหาที่บ้านบ่อยครั้งเกิน 

          การหายตัวไปของอามีนพร้อมกับการเพิ่มข้อกล่าวหาของคดีความต่างๆ ที่เป็นภัยคุกคามความสงบสุขของประเทศ ยังคงทิ้งปริศนาให้กับโต๊ะครูและครอบครัวของเขา ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อามีนต้องยุติการเรียนการสอนและทิ้งแปลงผักของตัวเองกลางคัน ที่กำลังอยู่ในขั้นริเริ่มทดลองใช้ทฤษฏี “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามโครงการตามรอยพ่อ ที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่

          ปอเนาะกลายเป็นสถานศึกษาที่มีมลทินแห่งลัทธิการก่อการร้าย ที่ถูกสังคมภายนอกป้ายสีเป็นสถานบ่มเพาะนักรบรุ่นใหม่โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ เสมือนปอเนาะที่เคยผลิตผู้รู้ที่คอยปลูกฝังพัฒนาสังคมให้มีศีลธรรมไม่หลงเหลือพื้นที่แห่งความดีเอาเสียเลย

          ห้าปีผ่านไปไม่มีใครล่วงรู้ถึงชะตากรรมของอามีนผู้เคร่งครัดศาสนาคนหนึ่ง ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรแม้กระทั่งครอบครัวของอามีนเอง นอกจากจดหมายจากสำนักงานตำรวจภูธรภาคเก้าที่ส่งข่าวมาแจ้งอยู่เนืองนิจ

          ล่าสุดจดหมายประทับตราโลโก้ตำรวจที่มีข้อความหนาสีแดงจ่าหน้าซอง “ด่วนที่สุด” ได้แจ้งมายังครอบครัวอีกครั้งว่า นายอามีน มามะ มีความผิดในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนพกพาในที่สาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นคดีที่เก้าในรอบห้าปีของผู้ต้องหา ขอให้ผู้ปกครองหรือญาตินำผู้ต้องหาไปทำการมอบตัวต่อเจ้าพนักงานโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นทางเจ้าหน้าที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาดหากผู้ต้องหาขัดขืนหรือมีพฤติกรรมฝ่าฝืน

          และเช่นกันชื่อของอามีน  ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามหาถึงปอเนาะอัดดีนุลอิสลามอีกครั้ง ภายใต้คำสั่งการของท่านผู้กำกับการคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามารับหน้าที่ แต่ครั้งนี้ไม่มีปอเนาะอัดดีนุลอิสลามอีกแล้ว นอกจากป้ายประกาศขนาดใหญ่ มีข้อความตัวหนามองเห็นได้อย่างชัดเจนเขียนว่า “สถาบันแห่งนี้ถูกอายัดใบอนุญาตไว้เป็นการชั่วคราว ห้ามกระทำการกิจกรรมใดๆ ภายในบริเวณแห่งนี้ จนกว่าจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางการเท่านั้น”    

 ....................