Skip to main content

ส. สันติภาพ

จากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อ 4 ธันวาคม 2557 เวลา 1145 เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลัง 3 ฝ่าย เข้าติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ หมู่ที่ 3 ตำบล/อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 นาย สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 3 คน หลบหนีไปได้ 1 คน พร้อมตรวจยึดของกลางได้หลายรายการ

ภายหลังจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผู้อำนวยการสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) ได้เผยแพร่แถลงการณ์กรณีเหตุปะทะที่สะบ้าย้อย ว่าเจ้าหน้าที่ทำการปิดล้อมหมู่บ้านและนำชาวบ้านออกจากบ้านที่อยู่อาศัยมารวมตัวข้างนอกบ้าน ผู้หญิงกับเด็กอยู่ที่มัสยิดและส่วนผู้ชายอยู่ที่สนามฟุตบอล ตั้งแต่เที่ยงวันวันนี้จนถึงขณะนี้ชาวบ้านยังอยู่ในการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่ เพื่อค้นหาผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาซึ่งกำลังหลบหนี ขณะนี้ญาติๆ และเพื่อนบ้านใกล้เคียงต่างเป็นห่วงชะตากรรมของชาวบ้านดังกล่าวเป็นอย่างมากเพราะบางกระแสข่าวได้พูดกันว่าชาวบ้านที่อยู่ในการปิดล้อมและควบคุมตัวทั้งหมดยังไม่ได้รับประทานอาหารตั้งแต่ตอนเที่ยงโดยเฉพาะเด็กๆ ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายบรรยากาศการพูดคุยเพื่อสันติสุข… แถลงการณ์ระบุถึงข้อสังเกตต่อกระแสข่าวดังกล่าวว่า

1. ฝ่ายความมั่นคงระดับนโยบายจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงให้สาธารณะได้รับทราบอย่างเร่งด่วน

2. หากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามกระแสข่าวดังกล่าว ขอเรียกร้องให้ฝ่ายความมั่นคงในระดับนโยบายทำการพิจารณาถึงระดับการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในครั้งนี้ให้อยู่ในกรอบการปกป้องพลเรือนจากกิจกรรมการใช้อาวุธอย่างเคารพในมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล ด้วยการให้ชาวบ้านโดยเฉพาะเด็ก หญิงมีครรภ์และคนชราได้รับประทานอาหารด้วย

โดยเมื่อ 7 ธันวาคม2557 โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจง เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า  การติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรง เป็นไปตามรายงานด้านการข่าวว่ามีผู้ก่อเหตุรุนแรงกรณีลอบยิงและลอบวางระเบิดเทศบาลตำบลมะกรูด อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 11 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา เข้ามาหลบซ่อนพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว จึงได้สนธิกำลังเข้าไปติดตามจับกุม โดยประสานผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และผู้นำศาสนาทราบ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ผู้ก่อเหตุรุนแรงที่หลบซ่อนในบ้านหลังดังกล่าว ได้ใช้อาวุธยิงใส่เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 นาย พร้อมกับได้วิ่งหลบหนีไปตามบ้านต่างๆ ในหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดติดตามจับกุมมีความจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์เนื่องจากเป็นเหตุการณ์เร่งด่วนเฉพาะหน้า เพื่อป้องกันอันตรายให้พี่น้องประชาชน เนื่องจากคนร้ายมีอาวุธ ทั้งนี้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนาได้ชี้แจงให้นำเด็กและผู้หญิงที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยในมัสยิด โดยเจ้าหน้าที่ได้อำนวยความสะดวก และจัดอาหารพร้อมน้ำดื่มคอยให้บริการ สำหรับผู้ชาย จำเป็นต้องแยกไว้ตรวจสอบ เนื่องจากอยู่ใกล้เคียงสถานที่เกิดเหตุ และภายหลังได้ปล่อยตัว โดยไม่มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ในส่วนของผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 3 คน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวน พร้อมกับรวบรวมวัตถุพยานต่างๆ ตรวจสอบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้การปฏิบัติดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของแม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ได้สั่งการให้หน่วยใช้ความระมัดระวังในการเข้าติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงโดยคำนึงถึงหลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด และให้ประสานผู้นำท้องที่, ผู้นำท้องถิ่น และผู้นำศาสนาทราบ เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดีนำไปบิดเบือนข้อเท็จจริง นอกจากนี้ให้ใช้การปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก ใช้อาวุธเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น และไม่ให้ส่งผลกระทบและเกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชน ซึ่งไม่เป็นไปตามคำกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวของบุคคลหรือองค์กรเครือข่ายต่างๆ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือบิดเบือนเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่รัฐ และสร้างความหวาดระแวงต่อกันในสังคมดังเช่นพฤติกรรมที่เคยปฏิบัติมาทุกๆ ครั้ง เพราะเป็นการทำลายความหวังและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่ต้องการให้เกิดสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ได้มีความพยายามจากกลุ่มองค์กร และบุคคลบางกลุ่ม บิดเบือนข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ได้กระทำเกินกว่าเหตุ กล่าวคือได้ทำร้ายร่างกาย, ทำลายทรัพย์สิน และกวาดต้อนเด็กและผู้หญิงไปรวมไว้ที่มัสยิด โดยไม่ได้รับประทานอาหาร ชี้ให้เห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีการดำเนินการตามขั้นตอนหลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญได้ยึดถือหลักการสำคัญที่สุดของสิทธิมนุษยชน  คือ มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ และกำหนดให้รัฐบาล ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐดำเนินการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่ต่างเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นไทยโดยไม่มีการแตกแยก ยอมรับความหลากหลาย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน จึงไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องการแบ่งชนชั้น หรือเผ่าพันธุ์

การที่กลุ่มองค์กร และบุคคลบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละ เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน ที่สำคัญการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีการดำเนินการตามขั้นตอนหลักกฎหมาย มีหลักฐานการจับกุมชัดเจน เพื่อให้เกิดความถูกต้องและยุติธรรม ไม่ได้ใช้วิธีการรุนแรง และเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ท่านทั้งหลายพิจารณาดูแล้วกันว่าใคร กลุ่มใดบ้างที่มุ่งสร้างกระแสบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและกลุ่มแนวร่วมมากกว่าความสงบสุขของ ปชช. ในพื้นที่เป็นหลัก และที่สำคัญใครที่เป็นผู้ทำลายบรรยากาศการพูดคุยเพื่อสันติสุขตัวจริงกันแน่..........