Skip to main content

 

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เข้าพบคณะอนุกรรมาธิการกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อหารือเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมฉบับปัจจุบัน ที่มีเนื้อหาบางมาตราริดรอนสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของประชาชน และไม่เป็นไปตามมาตรฐานด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกอยู่ด้วย 

นางสาวปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยและคณะ เดินทางเข้าพบพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการตำรวจ และคณะอนุกรรมาธิการกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อหารือเกี่ยวกับร่างพรบ. โดยเฉพาะประเด็นที่ร่างกฎหมายเปิดช่องให้มีการตีความอย่างกว้างขวาง ที่อาจนำมาซึ่งการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของประชาชนและข้อกังวลเรื่องการเอาผิดทางอาญากับผู้จัดการชุมนุมและผู้เข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ  อีกทั้งในร่างกฎหมายฉบับนี้ มีการนิยามหรือใช้ถ้อยคำที่มีข้อสังเกตว่ามีความหมายคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไม่แน่นอน ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความและการนำมาใช้บังคับในทางกฎหมาย

“เรามีความกังวลอย่างยิ่งว่าในมาตรา 7 และมาตรา 12 (1) และ 18 (1) ที่ใช้คำว่า “ความสะดวก” นั้นเปิดโอกาสให้มีการตีความและการใช้อำนาจอย่างกว้างขวาง เพื่อจำกัดการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งอำนาจดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ด้านสิทธิมนุษยชนอีกทั้งข้อกังวล โดยเฉพาะในเนื้อหาของมาตรา 7 ที่ระบุว่า การชุมนุมโดยสงบอาจถูกตีความว่า“ไม่เป็นการชุมนุมสาธารณะโดยสงบ” และเป็นเหตุนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีและการใช้กำลังของตำรวจได้ เพียงเพราะเหตุที่ว่าการชุมนุมนั้นเป็นเหตุให้มีการ “กีดขวางมิให้ประชาชนใช้ทางหลวงหรือทางสาธารณะได้ตามปกติ...”

การชุมนุมขนาดเล็กอย่างสงบ เช่น การชุมนุมบนถนนหรือตามจัตุรัสในเมืองนั้นย่อมทำให้เกิด “การขัดขวางการใช้ประโยชน์ตามปรกติ” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  แต่เมื่อกำหนดข้อกำหนดเช่นนี้ย่อมเปิดโอกาสให้ทางการสั่งห้ามหรือยุติการชุมนุมได้โดยง่าย แม้จะเป็นการชุมนุมโดยสงบก็ตาม ในทำนองเดียวกัน คำว่า “การขัดขวาง” มีความหมายที่กว้างมาก และอาจถูกใช้โดยพลการเพื่อยุติการชุมนุมโดยสงบ  

นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ รองประธานกรรมการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การปฏิบัติตามร่างกฎหมายของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต้องอาศัยดุลยพินิจส่วนตัวของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก เช่น เมื่อ “แจ้ง”ล่วงหน้าภายใน 24 ชั่วโมง แล้วก็ต้องรอการ “เห็นชอบ”เพื่อพิจารณาว่าผู้จัดการชุมนุมสามารถจัดได้หรือไม่ ในทางปฏิบัติจริงจึงอาจตีความได้ว่า ผู้จัดการชุมนุมต้อง ‘ขออนุญาต’ จากเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อจัดการชุมนุม หรือไม่ จึงไม่ใช่แค่เพียงการ ‘แจ้งล่วงหน้า’  ซึ่งอาจผิดไปจากเจตนารมณ์ของการแจ้งการจัดชุมนุมล่วงหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง 

รวมทั้งอาจทำให้ประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเกิดความสับสน เพราะประชาชนและเจ้าหน้าที่อาจมีความเข้าใจในตัวบทกฎหมายและตีความแตกต่างกัน เจ้าหน้าที่แต่ละคนอาจบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานที่แตกต่างกัน และทำให้ประชาชนบางส่วนอาจปฏิเสธดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งต่อการสร้างบรรทัดฐานเพื่อการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต 

ด้านพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวภายหลังการพูดคุยว่า จะนำข้อห่วงใยและเอกสารรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ไปมอบให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่มีตัวแทนหน่วยงานต่างๆ มาร่วมแสดงความคิดเห็นในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เพราะรัฐบาลต้องการกฎหมายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และสามารถให้การคุ้มครองทั้งผู้ชุมนุมและผู้ดูแลการชุมนุมด้วย 

 ทั้งนี้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มีข้อเสนอแนะต่อภาพรวมและข้อเสนอแนะต่อร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ...... ดังนี้ 

ข้อเสนอแนะต่อภาพรวม

1. ถอนการประกาศการเลี่ยงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่รัฐไทยได้แจ้งไปยังองค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557

2. ประกันว่าจะมีการนำข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ระบุถึงการปกป้อง คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชน ระบุในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะมีการจัดทำขึ้นใหม่

3. ประกันว่ากฎหมายภายในประเทศทุกฉบับจะมีเนื้อหาสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนของไทย

4. ยกเลิกข้อกำหนดใดๆ ที่ประกาศตามกฎอัยการศึก ซึ่งส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิมนุษยชน

5. กระตุ้นให้มีการยกเลิกประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติทุกฉบับที่จำกัดสิทธิมนุษยชนโดยรวม และจำกัดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบเป็นการเฉพาะ 

ข้อเสนอแนะต่อร่างพ.ร.บ.

1. เปลี่ยนถ้อยคำในมาตรา 7 และมาตราอื่นๆ ที่จำกัดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ โดยให้เหลือเงื่อนไขการจำกัดสิทธิเท่าที่กระทำได้ตามข้อ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

2. ประกันว่า โดยการประกาศใช้กฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งใดๆ การจำกัดสิทธิต้องได้รับการตีความอย่างแคบทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ และเป็นไปตามหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน

3. เปลี่ยนถ้อยคำในมาตรา 11 เพื่อตัดเงื่อนไขที่อาจตีความให้ต้องขออนุญาตก่อนจัดการชุมนุม

4. จำกัดเงื่อนไขของผู้จัดการชุมนุมให้เหลือเพียงการแจ้งล่วงหน้า กรณีที่การชุมนุมนั้นอาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในระดับหนึ่ง

5. ให้ตัดเนื้อหาใดๆ ที่มีข้อกำหนดให้ลงโทษทางอาญาหรือทางปกครอง ทั้งที่เป็นโทษจำคุกหรือค่าปรับ กรณีที่ผู้จัดการชุมนุมไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก่อนการชุมนุม

6. ให้ตัดเนื้อหาใดๆ ที่มุ่งเอาผิดทางอาญากับผู้จัดและผู้ประท้วง โดยคำนึงว่าควรใช้กฎหมายอาญาทั่วไปกับผู้ประท้วง เช่นเดียวกับที่ใช้กับบุคคลอื่น ๆ 

นางสาวปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยและคณะ เดินทางเข้าพบพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการตำรวจ และคณะอนุกรรมาธิการกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อหารือและแสดงความกังวลด้านสิทธิมนุษยชน ต่อร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ