Skip to main content

 

ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ได้ฟังจากผู้หญิงคนหนึ่งจะเป็นเรื่องจริงในแผ่นดินที่เราอยู่ มิใช่เรื่องราวในภาพยนตร์สงครามจากต่างประเทศที่เราชอบดู  เมื่อได้อ่านเรื่องราวจากข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ว่ามีเด็กถูกยิงได้รับบาดเจ็บพร้อมกับพ่อ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 ขณะที่กำลังประชุมกับองค์กรแหล่งทุน  เมื่อสอบถามไปยังเพื่อนๆ ที่ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศรายหนึ่งก็ให้สงสัยว่าเรื่องราวที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ทำไมแม้แต่ในบ้านเด็กก็ไม่ปลอดภัย  จึงเป็นที่มาของการเดินทางไปยังอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 แต่เราไปถึงที่นั้นก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วจึงตกลงกันว่าเราจะไปเยี่ยมน้อง เด็กชายอัยมัน  มะแตหะ อายุ 7 ขวบ ที่โรงพยาบาลเบตงในวันรุ่งขึ้น

หลังจากรับประทานอาหารเช้าและสอบถามถึงเส้นทางที่จะไปโรงพยาบาลเราก็ได้เจอน้องอัยมันนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ริมระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลโดยมือข้างซ้ายมีสายถุงน้ำเกลือติดอยู่  อัยมันมีน้าสาว 2 คนช่วยกันดูแล เธอบอกกับเราว่าหลังจากเหตุการณ์น้องอัยมันเงียบลงกว่าเดิมและไม่คุยกับใครเลย เราพยายามชวนน้องคุย ให้สลาม ถามถึงโรงเรียน คุณครู เธอก็เริ่มที่จะตอบโดยการพยักหน้าน้อย ๆ  หรือตอบเป็นคำ ๆ แต่สักพักน้องก็เริ่มเจ็บแผล  และจะถูนิ้วโป้งทั้งสองตลอดเวลาที่คุย เราสังเกตเห็นนิ่วโป้งทั้งสองของน้องเป็นรอยแผลถลอกแล้ว  น้าสาวของน้องเล่าให้ฟังว่า หมอต้องผ่าหน้าท้องเพื่อเอากระสุนออกและเย็บแผลที่ลำไส้ และปอด  เราอยากกอดน้องอัยมัน แต่กลัวน้องเจ็บแผล เราจึงทำได้แค่จูบที่หน้าผากของเธอก่อนที่จากลาพร้อมคำสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมน้องอีก อินชาอัลเลาะห์

เราเดินทางต่อไปยังหมู่ที่ 4 บ้านธารมะลิ ตำบล อัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นบ้านของแม่น้องอัยมันและเป็นบ้านที่เกิดเหตุการณ์ยิงพ่อเสียชีวิตและน้องอัยมันได้รับบาดเจ็บ  จากเส้นทางสาย 410 เบตง-ยะลา ต้องเลี้ยวเข้าไปในหมู่บ้านที่กิโลเมตร 32 ซึ่งเป็นทางที่ขึ้นภูเขาสูงชัน  เข้าไปค่อนข้างลึกและเปลี่ยว ไม่มีด่านแม้แต่ด่านเดียว ไปจนถึงบ้านของเธอ นางคอปือเสาะ มะเด็ง อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นแม่ของน้องอัยมัน และภรรยาของนาย ฮาซัน มะตอแห อายุ 47 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันทีต่อหน้าภรรยา น้องภรรยา และลูกชาย 4 คน บนบ้านของเขาเอง

ทีนี้เราพบลูกทาร์ซานน้อยชื่อ น้องลุกมาน มะแตหะ อายุ 4 ขวบ ไม่ใส่เสื้อผ้ากำลังนั่งเล่นกับพี่ชายของน้องที่ชื่อ อัสฮาน มะแตหะ อายุ 9 ขวบ จึงสอบถามว่าใช่บ้านของน้องอัยมันหรือไม่  ซึ่งทั้งสองก็ตอบว่าใช่ นางคอปือเสาะก็ได้ลงมาต้อนรับและเชิญขึ้นไปบนบ้าน ใบหน้าของเธอดูเหนื่อยล้าเพราะเพิ่มผ่านการจัดงานทำบุญหลังการเสียชีวิตของสามีได้ 7 วัน แต่เธอก็ยินดีพูดคุยกับเรา เธอได้เล่าให้เราฟังว่า

สามีของเธอ นายฮาซัน มะตอแห อายุ 47 ปี เป็นคนบันนังสตา เรียนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ แล้วจึงไปเรียนต่อทางด้านศาสนาที่ประเทศอิรัก 4 ปี จนจบระดับปริญญาตรี หลังจากที่กลับประเทศไทย นายฮาซันได้ไปสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่อำเภอ บันนังสตา เพียง 3-4 เดือน จึงแต่งงานกับเธอ มีลูกชายด้วยกัน 4 คน คือ เด็กชาย อัสฮาน มะแตหะ อายุ 9 ขวบ เรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 4 เด็กชายอัยมัน มะแตหะ อายุ 7 ขวบ เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เด็กชายลุกมาน มะแตหะ อายุ 4 ขวบ และเด็กชาย ซีนาน มะแตหะ อายุ 10 เดือน นายฮาซันมีอาชีพรับจ้างกรีดยางพารา และสอนตาดีกาในวันเสาร์ และอาทิตย์ โดยปกติก็จะไปกรีดยางหลังจากละหมาดซุบฮฺ หรือละหมาดในเวลารุ่งเช้า และจะกลับมาตอนประมาณ 8 โมงเช้า        หลังจากนั้นจึงไปถางป่าในสวนยางพาราเมื่อน้ำมันที่ใช้ถางป่าใกล้จะหมดก็จะกลับมาที่บ้าน ส่วนใหญ่ก็จะกลับมาตอนเที่ยงแล้วไปละหมาดที่บาลาเซาะห์ คือ สถานที่ละหมาดใกล้บ้าน

เธอเล่าให้ฟังว่าสามีของเธอเคยถูกควบคุมตัวด้วยกฎหมายถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2548-2549 ตอนที่ลูกคนโตยังเล็ก ครั้งที่สองเมื่อปี 2553 และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 ก.ย.57 โดย ฉก.ทพ.33 ได้นำกำลังเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้น จับกุมนายอาซัน มะแตหะ กรณีเป็นผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องเหตุลอบวางระเบิด รถทัวร์ บริษัทสยามเดินรถ สายเบตง-กทม.ได้รับความเสียหาย พื้นที่เกิดเหตุ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา

เมื่อ 6 ก.ย.57 ซึ่งเธอเล่าว่า สามีถูกควบคุมตัวที่ ศูนย์พิทักษ์สันติ เป็นระยะเวลา 25 วัน แต่ในข่าวที่ปรากฏ ระบุว่าได้รับการปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาเมื่อ 10 ก.ย.57

เมื่อได้รับการปล่อยตัวเธอก็ถามเขาว่าจะไปอยู่ที่อื่นหรือไม่เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการที่เจ้าหน้าที่จับกุมและตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบถึง 3 ครั้ง ในห้วงเวลา 10 ปี ที่มีความไม่สงบเกิดขึ้น แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร

คืนวันนั้นฮาซันเดินไปเปิดประตูหลังบ้านเพื่อจะลงไปก่อไฟให้แพะเพราะเพิ่งจะซื้อแพะมา 2 ตัวมาเลี้ยงไว้เพื่อจะทำงานเมาลิด เมื่อประตูเปิดก็ได้ยินเสียงปืน 1 นัดและเสียงปืนรัว สามีจึงวิ่งเข้ามาในบ้านและล้มลงที่ประตูกลางบ้าน ต่อมาชายชุดดำก็วิ่งขึ้นมาบนบ้านตามหลังสามี

ในตอนนั้นเธอกำลังนั่งพับผ้าตรงกลางบ้าน อัยมันกำลังจะเข้ามุ้งนอนที่ใกล้ประตูทางออกของบ้าน เมื่อได้ยินเสียงปืนและเห็นพ่อวิ่งเข้ามาในบ้านก็จะวิ่งเข้ามาหาพ่อแต่ก็ล้มลงตรงกลางบ้านเพราะถูกยิงเข้าที่ท้องด้านหน้า อัสฮาน กำลังแปรงฟันที่ระเบียงหลังบ้าน ที่อยู่ใกล้กับประตูที่นายฮาซันมาล้มอยู่ ส่วนลุกมานหลบอยู่ที่ซอกระหว่างพื้นบ้านที่ยกสูงกับกล่องเสื้อผ้าข้างประตู ฮาซันวิ่งขึ้นมาตรงกลางบ้านที่ยกพื้นสูง และล้มลงตรงหน้าตู้ ข้างหลังตู้มีน้องสาวของคอปือเสาะ หลบอยู่ด้วยความกลัว

 ชายชุดดำ เสื้อสีดำแขนยาว ที่หัวไหล่ใส่ฟองน้ำและเย็บ  กางเกงกีฬาสีดำ ใส่หมวกสีดำมองเห็นแต่ดวงตา ใส่ถุงมือ และใส่รองเท้าแบบรองเท้ายี่ห้อหนังยางสีดำ สูงประมาณ 170 เซนติเมตร รูปร่างสูงใหญ่   มายืนตรงกลางบ้าน ที่เปิดไฟสว่างเพราะเป็นเวลา 2 ทุ่มครึ่ง ข้างซ้ายมือของคนร้ายคือเธอที่วิ่งจะไปหาสามี ข้างขวาของเขาคือลุกมานที่นั่งหลบระหว่างซอกข้างกล่องเสื้อผ้ากับพื้นบ้าน คนร้ายยิงไปที่นายฮาซัน 5 นัด ต่อหน้าทุกคนที่หันมาดูเขา และเสียง ร้องไห้บอกกับคนร้ายว่าพอแล้ว หยุด ๆ !!! เป็นภาษายาวี

เมื่อเขายิงเสร็จก็วิ่งลงไปทางเดิมที่เขาขึ้นมา เธอจึงวิ่งตามไปดูและเห็นว่าคนร้ายมีสองคนอยู่ที่ด้านล่าง หลังจากนั้นเธอก็เห็นเขาวิ่งลงไปพร้อมกับเสียงพูดว่า gi gi แปลว่า ไป ไป และเห็นรถกะบะ วิ่งไปทางโรงเรียนบ้านธารมะลิ ซึ่งห่างออกไป 3 กิโลเมตร และมีด่านที่หน้าโรงเรียน และ บริเวณบ้านกระป๋อง

ต่อมาเธอจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านครั้งแรกไม่มีใครกล้ามาให้ความช่วยเหลือ จึงไปตามอีกครั้งจึงมาช่วย  หลังจากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นญาติกันก็มาถึงตอนสามทุ่มบอกว่าได้ยินเสียงปืนจึงออกมาดู และช่วยพาอัยมันไปโรงพยาบาล ในตอนนั้น เด็กๆ ทุกคนต่างก็ตกใจกลัวและร้องไห้

คอปือเสาะขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ได้เพราะกลัวการขี่มอเตอร์ไซด์ขึ้นภูเขา โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร ตอนนี้ก็มีเพื่อนบ้านช่วยมารับเด็ก ๆ ไปโรงเรียน สวนยางที่รับจ้างกรีดยางพาราก็อยู่ห่างจากบ้าน  เด็ก ๆ จะไม่คุยเรื่องที่เกิดขึ้นเลยเพราะกลัวแม่ร้องไห้  เมื่อเจ้าหน้าที่มาสอบถามลุกมานก็บอกว่า……..ยิงพ่อ เพราะลักษณะเสื้อเหมือนที่เขาเห็น……….ใส่ (ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามเด็ก ๆ มีแม่อยู่ด้วย)[i]

หลังจากนี้ชีวิตจะดำเนินอย่างไร เราได้ถามคอปีอเสาะ เธอก็นิ่งเงียบ เราก็เลยบอกว่า ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างแรกเลย ก็คือฝึกขี่มอเตอร์ไซด์เพื่อไปส่งลูกที่โรงเรียน เพื่อไปกรีดยางพาราหารายได้มาดูแลลูก ๆ ที่กำลังเรียนและเติบโตต่อไป เพื่อให้มีชีวิตที่ดีในอนาคต แต่ก่อนอื่นก็ให้สังเกตดูความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็ก ๆ ด้วยเพราะสิ่งที่เขาเห็นมันเลวร้ายเกินกว่าที่เด็กควรจะพบเจอหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็เถอะ เธอเคยเย็บผ้าได้นิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งในอนาคตในการประกอบอาชีพของเธอ แต่สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้คือ เธออยากรู้ว่าใครฆ่าสามีเธอ

ในระหว่างที่เธอเล่าเรานึกไม่ออกหรอกว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร เธอจึงพาไปดูทุกจุดที่เกิดเหตุตั้งแต่จุดที่สามีเปิดประตู วิ่งเข้ามาล้มเมื่อถึงตรงนี้ ล่ามของเราก็ไม่สามารถแปลได้อีกแล้วเพราะเธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ล่ามคนที่สองจึงมาช่วยแปลต่อ เธอมา และพาชี้จุดต่างๆ ให้เราดู  ชี้ตำแหน่งที่ลูก ๆ หลบอยู่ซึ่งทุกจุดสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ตลอด เธอชี้รอยทะลุพื้นไม้ตำแหน่งที่คนร้ายมายิงซ้ำทั้งๆ ที่เธอบอกให้พอแล้ว เธอยังไม่มีโอกาสได้ไปเฝ้าดูแลอัยมันเลย เพราะต้องดูแลลูกคนเล็กที่อายุเพียง 10 เดือน

จากการติดตามเหตุการณ์ที่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งเป็นรายที่ 17 ที่ทางกลุ่มด้วยใจเก็บข้อมูลมา และเป็นหลายรายที่พบว่าคนกระทำไม่เคยใส่ใจหรือคำนึงถึงเด็กเลยแม้แต่น้อย  เราไม่สามารถหาคำตอบให้กับเหตุการณ์นี้ได้แต่เราอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สนใจ ใส่ใจ และดูแลเด็ก และประชาชน มากกว่านี้ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม เราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้ ผ่านไปเหมือนสายลม เราไม่อยากให้มีการเสียน้ำตาอย่างไร้ค่า แต่เราอยากให้การเสียน้ำตานั้นได้หยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ้าง เราไม่อยากให้ผู้กระทำผิดลอยนวลไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม เราเชื่อมั่นว่าถ้าตั้งใจจริงก็สามารถจับกุมได้อย่างเป็นธรรมเหมือนหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา

 


[i]ขั้นตอนการสอบปากคำพนักงานสอบสวนเป็นผู้ประสานการนัดหมายเมื่อนัดได้แล้ว ให้สอบปากคำในห้องที่จัดไว้เฉพาะเป็นสัดส่วนและมีเครื่องวิดีโอ เพื่อบันทึกการให้ปากคำปัจจุบัน ในห้องสอบปากคำ จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง  นักสังคมสงเคราะห์จะนั่งถามกับเด็ก และมีเครื่องบันทึกภาพและเสียง ส่วนอีกห้องหนึ่งพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และผู้ที่เด็กไว้วางใจนั่งฟังและอาจถามเพิ่มเติมได้ผ่านนักจิตวิทยา