Skip to main content
 
หมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ปลายชายเขาบนถนนสีแดงที่เต็มไปด้วยรอยขรุขระของพื้นผิว ถูกกล่าวขานว่าเป็นพื้นที่สีแดง ด้วยภาพลักษณ์ของหมอกควันจากระเบิดและเขม่าปืนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่บ้านแห่งนี้
 
ฟาตีมะห์ หญิงหม้ายที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงดูลูกอีกสามคนที่กำลังศึกษาใน ปี 3 ม. 5 และ ม.1 หลังจากที่สามีของเธอโดนลอบยิงจากกลับสอนตาดีกา(โรงเรียนสอนศาสนา)
 
อับดุลเลาะห์ลูกชายคนโตวัย 23 ปีโดนจับด้วยคดีความมั่นคง ซึ่งเหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้ยังเป็นความฝันร้ายของคนในครอบครัวเธอมาจนถึงทุกวันนี้
 
ฟาตีมะห์สามารถเล่าสองเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดีเมื่อมีญาติจากมาเลเซียมาเยี่ยมเธอถึงบ้าน เขายอมที่จะเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นของครอบครัวตัวเอง ให้ญาติสนิทฟังของสองเหตุการณ์นี้ เพียงเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันสักเท่าไร
 
เธอได้เล่าว่า "วันที่ 23 มิถุนายน 2556 ซูไฮมี (สามี) ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 13.40 น.เพื่อทำการสอนตาดีกา แต่ขากลับจากการสอน ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้าจ่อยิงจนเสียชีวิต (จากการบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์) ซึ่งเสียงปืนนั้นเป็นเสียงที่เธอทักว่าคงเป็นแค่ประทัดเด็กเล่น แต่ถัดมา 5 นาทีโทรศัพท์ดังขึ้น ด้วยความตกใจ เธอจึงรีบรับสาย แต่เสียงที่ปรากฏในโทรศัพท์นั้นเป็นเสียงของลูกชายคนที่2(สุกรี)ที่ขับรถตามหลังพ่อ หลังจากกลับโรงเรียนในตัวเมือง เสียงสั่นเทาของสุกรีทำให้ผู้เป็นแม่ตกใจ เธอจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น?
 
"มามา อาบะฆีนอบือแด"  สิ้นเสียงตอบจากลูกชาย  เธอทรุดลงกับพื้น ไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง มันเป็นฝันร้ายสำหรับเธอและลูกๆเป็นอย่างมาก ทุกอย่างเหมือนมีมนต์ดำมาปิดบังเมฆฟ้าที่ส่องสว่างให้กับคนที่อยู่บนโลกนี้ แต่บัดนี้มันกลายเป็นสีเทาสำหรับครอบครัวเธอไปแล้ว
 
เปิดประตู เปิดประตู!  เสียงดังที่ปรากฏหน้าบ้านเธอดั่งฟ้าคำรามหาฝน เธอจึงรีบเปิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่เคาะประตู "มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”  ลูกชายของคุณเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี วางระเบิดเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยครู เมื่อเวลา สิบโมงที่ผ่านมา
 
"ไม่จริงมั้งค่ะ ลูกฉันอยู่กับฉันตลอดทั้งวัน วันนี้เขาไม่ได้ไปไหน"  เธอพยายามอธิบายถึงความจริงให้กับเจ้าหน้าที่รับฟัง แต่แล้ว กลับเป็นเพียงแค่สายลมที่กระทบใบหูเจ้าหน้าที่เท่านั้น ทุกอย่างรวดเร็วในการปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ เมื่อมืออันหยาบกระด้างได้แตะผิวอับดุลเลาะห์บริเวณข้อมือ แล้วผลักขึ้นรถเจ้าหน้าที่ไป เธอหมดหนทางที่จะต่อรอง เธอหมดคำพูดที่จะเรียกร้องถึงความเป็นธรรม เธอมีเพียงน้ำตาที่ล้างแก้ม ที่ไหลจากความร้อนภายในใจแล้วระบายออกมาด้วยหยาดน้ำตา


เธอมีอาชีพสอนตาดีกาและเปิดร้านขายขนมที่บ้าน ส่วนอีกหน้าที่หนึ่ง ที่เธอรับมาด้วยอัตโนมัติคือ ทนายความส่วนตัวสำหรับลูกชายที่ยังไม่ได้รับอิสรภาพ เธอยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามีและลูกชายของเธอ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรและตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง นับมันเป็นความสูญเสียโดยตรงสำหรับเธอ ส่วนตัวเธอเองก็ไม่สามารถที่จะอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นดินลังกาสุกะแห่งนี้
 
ทุกๆวันศุกร์ของสัปดาห์ เธอจะหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีของลูกชายและการจากไปของสามี ด้วยการไปปรึกษาทนายความมุสลิมประจำจังหวัดอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ตัวเธอเองจะรู้ดีว่า การออกตามหาความจริงครั้งนี้ จะเป็นเพียงแค่แสงสว่างปลายอุโมงค์ก็ตาม
 
จนวันหนึ่งการตามหาหลักฐานเกี่ยวกับลูกชายที่ถูกจับ กลับถูกตั้งคำถามด้วยสุกรี (ลูกชายคนที่ 2) ว่า "มามาทำไมแบเลาะห์ต้องเข้าเรือนจำด้วยหล่ะ ในเมื่อวันเกิดเหตุแบเลาะห์ก็อยู่กับผมตลอดทั้งวัน" นับเป็นคำถามที่ผู้เป็นแม่ฟังแล้วถึงกับร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถหาวิธีที่จะช่วยลูกชายออกจากเรือนจำได้
ถึงแม้ว่า บางครั้งการตามหาความจริงเกี่ยวกับลูกชายและสามี ทำให้เธอเหนื่อย ท้อ ล้า แต่เธอไม่เคยที่จะถอยในการค้นความจริงเกี่ยวกับคนที่เธอรักทั้งสองคน เธอจะมีคำพูดที่เตือนใจตัวเองตลอดว่า " ไม่มีใครแล้วในครอบครัวนอกจากฉัน นอกจากฉัน นอกจากฉัน จะต้องลุกขึ้น ต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับสามีและลูกชายของฉัน"
                 
ทุกๆ คืนเธอจะเป็นผู้สอน อัล-กรุอ่านให้กับลูกๆ อีกสามคนแทนสามีของเธอที่จากไปโดยไม่มีวันกลับ ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในบ้านตกเป็นหน้าที่ของเธอทุกอย่าง ซึ่งทุกครั้ง หลังจากสอนอัล-กรุอานเสร็จ เธอจะทำการละหมาดฮายัด(ละหมาดเพื่อขอพรแก่พระผู้เป็นเจ้า) โดยจะให้สุกรีลูกชายคนที่สอง เป็นผู้นำละหมาดเกือบทุกคืน  เธอจะสอนทิ้งท้ายให้กับลูกๆเสมอว่า"ลูกจะต้องมีความรับผิดชอบ ต้องเรียนสูงๆเพื่อจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเราได้ และจะต้องมีความยุติธรรมในการทำงานไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่ยาก หรืองานที่ง่ายก็ตาม
                 
บทบาทหน้าที่ของเธอในการดูแลครอบครัว และการต่อสู้ความเป็นธรรมให้กับลูกชายและสามี ได้ถูกตาด้วยองค์กรภาคประชาสังคมองค์กรหนึ่งในพื้นที่ มาซักถามเกี่ยวกับการจากไปของสามีและการถูกจับของลูกชาย ซึ่งเธอได้เล่าทุกอย่างให้กับองค์กรดังกล่าวด้วยความละเอียด
 
เธอได้เล่าถึงการใช้ชีวิตของเธอและลูกๆให้องค์กรดังกล่าวฟังว่า ตัวเองจะต้องหาเงินทุกวิธีทาง เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ โดยหน้าที่หลักๆแล้ว เธอเป็นครูสอนตาดีกาตั้งแต่วันจันทร์-วันพฤหัส พอตกค่ำของทุกคืนก็จะสอนอัล-กรุอ่านที่บ้าน เมื่อถึงเวลาสองทุ่มเธอจะเปิดร้านขายของที่บ้าน ส่วนอีกหน้าที่หนึ่งของผู้เป็นแม่ เธอจะไปเยี่ยมลูกชายที่เรือนจำ สองสัปดาห์ละครั้ง เธอจะให้กำลังใจลูกชายเสมอ ผ่านสายโทรศัพท์ที่ได้ยินเพียงเสียง ได้เห็นแค่หน้า แต่ไม่มีวันที่จะสัมผัสตัวได้
 
เธอจะบอกลูกชายเสมอว่า มันเป็นเพียงบททดสอบที่อัลลลอฮ์จะทดสอบเราแค่นั้นเองน่ะลูก อย่าเพิ่งท้อ อย่าลืมดุอาอ์ อย่ากังวลกับสิ่งอื่นใด สักวันความจริงต้องปรากฎ  เธอทำได้เพียงแค่การให้กำลังใจและดื้นรนในการหาความจริงคดีของลูกชาย เธอไม่สามารถที่จะปืนรั้วเรือนจำเพื่อนำตัวลูกชายออกมาได้ แม้ภายในใจต้องการที่จะทำสิ่งเหล่านั้นมากก็ตาม
 
คำถามที่สองจากองค์กรภาคประชาสังคมถามว่าก่อนที่ลูกชายจะโดนคดีความมั่นคงลูกชายทำงานหรือเรียนที่ไหน เธอตอบไปว่า เขากำลังศึกษาอยู่ชั้นสิบในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งในตัวเมือง อีกทั้งลูกชายก็เป็นครูสอนตาดีกาโรงเรียนใกล้บ้านอีกด้วย