Skip to main content

 

อาณาจักรอักซุมกับชาวมุสลิม

 

บรรจง บินกาซัน

 

 

อาณาจักรอักซุมเป็นอาณาจักรเก่าแก่ในทวีปแอฟริกาตั้งอยู่บนริมฝั่งทะเลแดงตรงข้ามกับเยเมน เนื่องจากตั้งอยู่ริมทะเล อาณาจักร อักซุมจึงเดินทางติดต่อค้าขายกับอาณาจักรโรมันไบแซนตินที่นับศาสนาคริสต์ซึ่งทำให้กษัตริย์แห่งอักซุมได้ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของอาณาจักรหลังสมัยคริสต์กาลประมาณ 300 ปี ชาวอักซุมอ้างว่าตัวเองเป็นลูกหลานของราชินีบิลกีสที่ปกครองเยเมนร่วมสมัยกับกษัตริย์โซโลมอนหรือนบีสุลัยมาน

ก่อนหน้าสมัยนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม อาณาจักรอักซุมเคยช่วยชาวคริสเตียนในแคว้นนัจญ์รอนที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้ปกครองชาวยิว ไม่เพียงเท่านั้น กษัตรยิ์แห่งอักซุมก็เคยช่วยเหลือมุสลิมที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากชาวอาหรับที่กราบไหว้รูปเคารพในเมืองมักก๊ะฮฺด้วยเช่นกัน

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามใน ค.ศ.610 บรรดาผู้นำชาวเมือง มักก๊ะฮฺเริ่มมองเห็นว่าคำสอนของท่านเป็นภัยคุกคามอำนาจการปกครองและเศรษฐกิจของตน ดังนั้น คนที่หันมารับนับถืออิสลามจึงถูกทำร้ายและถูกกดขี่ข่มเหง บางคนถูกทรมานเพื่อให้เลิกนับถืออิสลาม แต่บางคนยอมตายเพื่อรักษาความศรัทธาใหม่ของตนไว้ แต่ไม่มีใครกล้าทำร้ายท่านนบีมุฮัมมัดเพราะท่านได้รับความคุ้มครองจากลุงของท่านซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในคณะผู้ปกครองเมือง

เมื่อการกดขี่ข่มเหงรุนแรงมากขึ้นจนหลายคนทนไม่ไหว ท่านนบีมุฮัมมัดจึงอนุญาตให้มุสลิมที่ถูกกดขี่ข่มเหงเหล่านี้อพยพออกจาก มักก๊ะฮฺโดยมีจุดหมายปลายทางที่อาณาจักรอักซุมซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมักก๊ะฮฺบนฝั่งทวีปแอฟริกา

นี่คือการอพยพครั้งแรกของมุสลิมในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด มันมิใช่การหลบหนี แต่เป็นการต่อสู้อย่างสันติเพื่อรักษาความศรัทธาของตนไว้

เหตุผลที่ท่านนบีมุฮัมมัดเลือกอาณาจักรอักซุมเป็นที่ลี้ภัยของมุสลิมก็เพราะกษัตริย์นะญาชี(เนกุส)แห่งอาณาจักรอักซุมนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งมีคำสอนที่คล้ายคลึงกับอิสลาม อย่างน้อยที่สุด ศาสนาคริสต์ไม่มีการกราบไหว้รูปปั้นเจว็ดและมีความเชื่อในพระเจ้า มีความเชื่อในเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตายและรู้จักนบีคนก่อนๆ ท่านนบีมุฮัมมัดจึงหวังว่ากษัตริย์ที่มีความศรัทธาเช่นเดียวกันนี้จะให้ความช่วยเหลือมุสลิมที่มีความศรัทธาคล้ายๆกัน

เมื่อผู้นำชาวเมืองมักก๊ะฮฺรู้ว่ามุสลิมจำนวนหนึ่งอพยพไปหลบภัยอยู่ที่อาณาจักรอักซุม พวกเขาจึงส่งตัวแทนกลุ่มหนึ่งไปที่นั่นเพื่อขอให้กษัตริย์อักซุมส่งตัวมุสลิมเหล่านั้นกลับมายังเมืองมักก๊ะฮฺเพื่อลงโทษและป้องปรามคนที่จะหันมานับถืออิสลาม

กษัตริย์แห่งอักซุมได้ต้อนรับและฟังความต้องการของตัวแทนจาก มักก๊ะฮฺ แต่กษัตริย์แห่งอักซุมก็ยุติธรรมพอที่จะฟังความของมุสลิมที่อพยพมาหลบภัยในอาณาจักรของตน

เมื่อได้ฟังคำอธิบายเหตุผลในการอพยพของมุสลิมและฟังคำสอนของนบีมุฮัมมัดจากตัวแทนมุสลิมผู้อพยพแล้ว กษัตริย์แห่งอักซุมได้ถามตัวแทนมุสลิมว่านบีมุฮัมมัดสอนเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูหรือนบีอีซาอย่างไร ตัวแทนมุสลิมจึงอ่านคัมภีร์กุรอานตอนหนึ่งในซูเราะฮฺมัรฺยัมให้กษัตริย์นะญาชีฟัง

เมื่อได้ยินเรื่องราวของนบีอีซาบุตรของนางมารีย์จากคัมภีร์กุรอาน กษัตริย์นะญาชีแห่งอักซุมถึงกับน้ำตาซึมและอนุญาตให้มุสลิมผู้อพยพอยู่ในอาณาจักรอักซุมอย่างสงบสุขต่อไปตามที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ ตัวแทนของผู้นำชาวเมืองมักก๊ะฮฺจึงต้องเดินทางกลับพร้อมกับความเคียดแค้นอยู่ในใจ

หลังจากนบีมุฮัมมัดลงนามสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺกับผู้นำชาวมักก๊ะฮฺ กษัตริย์แห่งอักซุมเป็นผู้ปกครองคนหนึ่งที่ท่านได้ส่งจดหมายไปเชิญชวนสู่อิสลาม กษัตริย์อักซุมอ่านจดหมายนั้นแล้วได้ลงมาจากบัลลังก์และสั่งให้เก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ในกล่องที่ทำจากงาช้าง หลังจากนั้นได้ตอบจดหมายว่า “ฉันขอยืนยันว่าท่านคือศาสนทูตของพระเจ้าและยอมรับนบีก่อนหน้าท่าน ฉันขอแสดงความจงรักภักดีต่อท่านและฉันขอนอบน้อมยอมตนต่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก”

เมื่อกษัตริย์นะญาชีแห่งอักซุมเสียชีวิตลงและท่านนบีมุฮัมมัดทราบข่าวหลังจากนั้น ท่านได้ทำพิธีทางศาสนา(นมาซฆออิบ)วิงวอนขอพรให้ในขณะที่ท่านอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ