Skip to main content

 

"...ศาสนาอิสลามจะวางกฎเกณฑ์ใดๆ ก็ตาม จะวางรากฐานอยู่บนการปกป้องหกประการด้วยกัน..."

 

 

อย่างแรกคือ ศาสนา เป็นสิ่งธำรงไว้เหนือสุด การละทิ้งศาสนาเป็นความผิดร้ายแรง หากเรามองในมุมของอาคีรัตหรือชีวิตหลังความตาย จะเห็นว่า การละทิ้งอิสลาม จะมีผลต่อความสุขนิรันดร์หรือความทุกข์นิรันดร์ เพราะฉะนั้นการกระทำต่างๆที่จะนำไปสู่การละทิ้งอิสลาม จึงเป็นบาปใหญ่ อาทิเช่น การทำชีริก การดูหมอ การทะลิ้งการละหมาด การไม่ถือศีลอด เป็นต้น

อย่างที่สอง คือ ร่างกายและชีวิต อิสลามนั้นห้ามการฆ่าตัวตาย เพราะเป็นการทำลายชีวิตตัวเอง และถือเป็นบาปใหญ่มากเลยทีเดียวสำหรับการกระทำอันสิ้นคิดเช่นนี้ ขณะเดียวกัน อิสลามก็ห้ามฆ่าชีวิตผู้อื่นด้วย จึงทำให้การฆ่าคน เป็นบาปใหญ่เป็นอันดับต้นของศาสนาอิสลาม

ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายและท่านอาหารที่มีประโยชน์จึงถือเป็นความดีอย่างหนึ่งเพราะเป็นการรักษาสุขภาพของร่างกายนั้นเอง

อย่างที่สาม คือ ปัญญา อิสลามส่งเสริมการใช้ปัญญา และหนีห่างความงมงาย โดยเฉพาะการพิสูจน์ในเรื่องพระเจ้า ซึ่งเรามองพระเจ้าไม่เห็นด้วยตา และไม่ได้ยินกับหู แต่เราก็สามารถพิสูจน์ในเรื่องพระเจ้าให้ประจักษ์ด้วยปัญญา และนำไปสู่ความศรัทธา

ดังนั้นความศรัทธากับความงมงายจึงต่างกันโดยสิ้นเชิง ความศรัทธาจะผ่านปัญญา พินิจพิจารณาหลักฐานการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยสัญญาณต่างๆ อาทิเช่น สัจธรรมในอัลกุรอ่านที่กล่าวเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนมนุษย์ในครรภ์ (Embryo)

ซึ่งเมื่อระยะเวลาพันปีที่แล้วยังไม่มีการศึกษาในเรื่องนี้ละเอียดเช่นในอัลกุรอ่านบอก การศึกษากายวิภาคศาสตร์(Anatomy)มีมานานแล้วก็จริงอยู่ ครั้งแรกก็ราวๆก่อนคริสตกาล แต่มิได้ละเอียดถึงขนาดบอกได้ว่าอายุครรภ์กี่วัน ตัวอ่อนจะมีลักษณะอย่างไร เหมือนในอัลกุรอ่านบอก

ในยุคนั้นอย่างมากก็บอกได้เพียงว่า ศูนย์กลางของการสูบฉีดเลือดคือหัวใจ ก็ถือเป็นความรู้ขั้นสูงแล้ว เพิ่งจะมาศึกษากันอย่างละเอียดในยุค อิบนุซีนานี่เอง ซึ่งก็เป็นยุคที่อิสลามถูกประทานลงมาแล้ว

ถึงกระนั้นก็เถอะ สมมติว่า (ย้ำว่าสมมติ) มีการศึกษาเรื่องนี้กันในสมัยมุฮัมหมัดยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ก็คงมิได้เกิดขึ้นในดินแดนอาหรับเพราะดินแดนอาหรับในยุคนั้น เพราะเป็นดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ไม่มีความศิวิไลซ์ใดๆ สังคมที่การฆ่าลูกสาวเป็นเรื่องธรรมดานี่หรือ จะทำศึกษาเรื่องเอ็มบริโอของมนุษย์ อีกทั้งคนที่อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ ก็เรียกได้ว่านับคนได้เลย และแน่นอนว่ามุฮัมหมัดอ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือไม่เป็น ไม่ได้รับการศึกษาวิชาจากอาจารย์ใดๆ

ในเมื่อคนเช่นนี้บอกแก่มนุษยชาติว่า ตัวอ่อนในครรภ์มารดาลำดับอย่างไร นับตั้งแต่การผสมของสเปิร์มกับไข่(คำว่าสเปิร์มเพิ่งจะมาในภายหลังนี่เอง) จนถึงการเป็นรูปเป็นร่างและมีชีวิต สมัยก่อนอาจจะมองเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน เพราะยังไม่ได้มีการศึกษาลักษณะตัวอ่อนในครรภ์อย่างจริงจัง แต่เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ มีการศึกษาตัวอ่อนของมนุษย์อย่างละเอียดจนเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่เรียกว่า คัพภวิทยา ก็แทบจะหงายหลัง เมื่อนำข้อมูลการศึกษามาเทียบกับอัลกุรอ่าน ปรากฏว่าเป็นไปตามที่คนไม่มีการศึกษาอย่างท่านนบีมุฮัมหมัดกล่าวไว้อย่างตรงเผง คนอย่างนบีมุฮัมหมัด ที่เติบโตในสังคมป่าเถื่อน จะเอาเรื่องตัวอ่อนของมนุษย์มาเล่าได้อย่างไรหากไม่มีการเปิดเผยจากผู้สร้างมนุษย์เสียเอง นี่แหละคือหนึ่งในสัญญานที่ว่า มนุษย์นั้นมีผู้สร้าง และติดต่อกับมนุษยชาติผ่านบุรุษคนหนึ่งที่ชื่อมุฮัมหมัด ผู้ซึ่งได้รับฉายาจากคนทั่วไปว่า อัลอามีน หรือ ผู้มีความซื่อสัตย์นั้นเอง

ด้วยลักษณะการส่งเสริมให้ใช้ปัญญาในข้อนี้แหละ การทำลายปัญญาตัวเองจึงบาป อาทิ การมึนเมา การเสพยาเสพติด มิหน่ำซ้ำคนที่ทำลายปัญญาผู้อื่นก็บาปเช่นเดียวกัน เช่น ผู้ค้า ผู้ผลิต ยาเสพติดและสิ่งมึนเมา เพราะมีปัญญาเราจึงศรัทธา การทำลายปัญญาจึงเป็นการทำลายศรัทธาด้วย

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เกิดมาและมีความบกพร่องทางปัญญา อิสลามไม่เอาผิด และถือเป็นชาวสวรรค์โดยปริยาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาใดๆก็ตาม ก็เพราะปัญญาไม่มี จึงไม่สามารถจะพิจารณาสัญญานจนเกิดความศรัทธาได้นั้นเอง

อย่างที่สี่คือ วงศ์ตระกูลหรือเชื้อสาย อิสลามให้ความสำคัญกับเชื้อสายเป็นอย่างมาก และสนับสนุนให้ธำรงไว้ซึ่งเชื้อสายที่ดีไร้มลทิน ก็เพื่อปกป้องสิทธิของลูก อิสลามจึงห้ามการผิดประเวณีหรือการซีนา เพราะมันเป็นการทำลายเชื้อสายวงศ์ตระกูล ป้องกันการเกดลูกที่เกิดมาไม่ทราบนามสกุล อิสลามมีความหวงแหนผู้ศรัทธาด้วยการปิดประตูทุกบานที่นำไปสู่การผิดประเวณี นับตั้งแต่การอยู่ด้วยกันสองต่อสองของชายหญิงที่ยังมิได้แต่งงานเลยทีเดียว แต่ถ้าทำถูกทำนองคลองธรรม โดยการให้เกียรติฝ่ายหญิงด้วยการแต่งงานกับเธอ และทำมันให้เป็นเรื่องง่าย มันก็มีผลบุญมากมายก่ายกอง และเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษ

อย่างที่ห้า คือ เกียรติ อิสลามกำชับให้รักษาไว้ซึ่งเกียรติของตนเองหรือวิชาชีพตนเอง อย่างเช่น คนหนึ่งเป็นพ่อค้า แต่ขี้โกง เช่นนี้มันเป็นการทำลายเกียรติ แห่งวิชาชีพตนเอง เพราะพ่อค้าจะต้องสุจริต เป็นหมอ แต่เลี้ยงไข้ เป็นครูแต่กั๊กวิชา เป็นตำรวจแต่ละเมิดกฎหมาย เป็นโต๊ะครูแต่ไม่สำรวม เหล่านี้คือการไม่รักษาเกียรติของตนทั้งสิ้น อีกทั้งอิสลามยังห้ามการละเมิดเกียรติผู้อื่นอีกด้วยเช่น การใส่ร้ายป้ายสี การนินทา เป็นต้นฯ

อย่าที่หก คือ ทรัพย์สิน อิสลามกำชับให้รักษาทรัพย์สินของตนเองไว้ให้ดีที่สุด ถึงขนาดว่า ถ้ามีคนมาขโมยของเรา เช่น ปล้นหรือจี้หวังจะเอาของมีค่าของเราไป แล้วเราสู้เพื่อปกป้องทรัพย์สินจนถูกฆ่า อิสลามถือว่าเป็นการตายชะฮีดเลยทีเดียว ของมีค่าก็ควรเก็บไว้ในที่ลับตาคน ถ้าวางไว้ผิดที่ผิดทางและเกิดของหายขึ้นมา ความผิดอาจจะตกอยู่บนเจ้าของทรัพย์ก็ได้ ในข้อที่ว่าเก็บทรัพย์สินไม่เป็นที่เป็นทางเช่น จอดรถไว้ริมถนนโดยคากุญแจไว้ วางกระเป๋าเงินที่ระเบียงบ้าน เป็นต้นฯ ขณะเดียวกันก็ปกป้องทรัพย์สินของผู้อื่น อิสลามจึงห้ามขโมยหรือทุจริตใดๆในสิ่งที่มิใช่ของตนมาครอบครอง ..."

 

-จากการสอนตัฟซีรนูรุ้ลเอียะฮฺซาน ซูเราะฮฺอันนิสาอฺ โดยต่วนฆูรู บาบอ อิสมาแอล สปันญัง อัลฟาฏอนีย์-